ซวงไป๋งงงัน รู้สึกคำพูดของผู้เป็นนายมีความนัยลึกซึ้ง
ไป๋หลี่ชูดึงกลีบดอกไม้ที่ถูกขยี้จนแหลกแล้วทีละเล็กละน้อย และทิ้งลงในกาน้ำชาช้าๆ “ครั้งนี้เสี่ยวไป๋ถูกข้าจับได้ในวัง และผ่านการล้อมจับของเหมยซู เขาชอบการปล่อยปละไม่ถูกร้อยรัด สติปัญญาก็เฉียบคม คิดว่าคงเป็นครั้งแรกที่ลิ้มรสความพ่ายแพ้ บัดนี้เขาถูกผูกมัดทางใจเหมือนโศลกที่เจ้าใช้บรรยาย เขาดิ้นไม่หยุดย่อมจะหันมาต่อสู้กับอุปสรรค วังวนแห่งอำนาจนี้มิใช่บอกว่าจะมาก็มาจะไปก็ไป ยิ่งอยู่ในที่สูงการร้อยรัดก็ยิ่งลึกล้ำ”
เห็นน้ำในกาเดือดจนสีแดงพลุ่งพล่าน น้ำชาที่ถูกย้อมจนเป็นสีแดงฉาน ดูสดใสอย่างยิ่ง มุมปากของไป๋หลี่ชูปรากฏรอยยิ้มที่มิอาจหยั่งคะเน
ลิขิตของบุตรีคนที่สี่ตระกูลชิว
ถ้าไม่ตายและมิอาจเป็นคณิกาหลวงซึ่งเป็นทาสของราชนิกุล ย่อมต้องกลายเป็นผู้ทำให้การปกครองของราชสำนักปั่นป่วน เป็นเภทภัยของแค้วนและราษฎร
ราชครูท่านนั้นในยุคนั้น ทำนายโชคชะตาไว้ดีจริง
ให้เขาช่วยผลักอีกแรงเถิด
หึๆ…
ซวงไป๋แลดูท่าทางแสนเบิกบานของเจ้านาย จู่ๆ ก็เย็นเยือกในหัวอกอย่างประหลาด ฝ่าบาทจะล้อเล่นกับคนทั้งโลกที่อยู่ในอุ้งมืออีกแล้วหรือ
“ใช่แล้ว แม้พวกเราจะสกัดมิให้เสี่ยวไป๋พาคนออกจากเมืองมิได้ แต่ถ้าจะให้เสี่ยวไป๋เดินต่อไปตาม ‘เส้นทางราบรื่น’ ตามที่ข้ากำหนด ย่อมต้องมีใครช่วยเป็นผู้ร้ายสักคน ข้าคิดว่าคุณชายใหญ่ตระกูลเหมยคือตัวเลือกที่ดีที่สุด” ไป๋หลี่ชูยกชาซิ่งฮวาที่เดือดจนได้ที่ขึ้นดมกลิ่นหอมของบุปผาแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
คงมีแต่เจ้านายของตนเท่านั้นที่ดื่มชาบุปผาร้อนในช่วงเวลาร้อนที่สุดของปี แถมยังดื่มอย่างสบายอารมณ์เป็นที่สุดด้วย
ซวงไป๋มองดูรอยยิ้มที่แทบจะหยาดเยิ้มของผู้เป็นนาย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้านายของตนที่ไม่เคยยอมใครและชมชอบการแก้แค้นเอาคืนเป็นที่สุด จึงมิได้ลงมือจัดการกับคุณชายใหญ่ตระกูลเหมย
เขาอดมิได้ถามว่า “นั่นคนดี…”
ไป๋หลี่ชูจิบน้ำชาบุปผาคำหนึ่ง ถอนใจเบาๆ “เป็นผู้ร้ายมามากแล้ว วันนี้ข้าอารมณ์ดี จึงขอฝืนใจเป็นคนดีสักครั้งเถิด”
ซวงไป๋ “…”
…
จะกล่าวถึงชิวเยี่ยไป๋กับเป๋าเป่าลงจากชั้นบนพร้อมกัน ลานบ้านจัดแจงจนพอประมาณแล้ว บรรดาพวกหยิบหย่งของกองคั่นเฟิงกำลังเก็บกวาดสิ่งของ และนำพวกของเหนียวเละเทะออกจากพื้น
เห็นชิวเยี่ยไป๋ลงมา พวกเขาพากันประสานมือคารวะอย่างแข็งขันแกมอิหลักอิเหลื่อ “ใต้เท้า”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นอากัปกริยาพร้อมเพรียงของพวกเขา การคารวะก็ไม่สับสนอลหม่านเหมือนเมื่อก่อน จึงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องมากมารยาท”
แต่พวกหยิบหย่งชำเลืองมองเป๋าเป่าในคราบเจี่ยงเฟยโจวที่อยู่ข้างๆ จึงยังคงคารวะจนครบถ้วนกระบวนความ
ชิวเยี่ยไป๋มองดูของเหนียวเละเทะบนพื้นก็ถามอย่างแปลกใจ “นั่นมันอะไร ทำไมจึงเหนียวขนาดนี้ทำเอาข้าผู้เป็นเชียนจ่งยังโดนเข้า”
ยังเหนียวกว่ากาวสารพัดประโยชน์ที่นางเคยเห็นในชาติก่อนด้วยซ้ำ
เจ้าอ้วนผู้คล่องแคล่วคนเดิมก้าวออกมา กล่าวอย่างโอ้อวดว่า “เรียนใต้เท้า ของเล่นนี้เรียกว่าฟองน้ำ เป็นสิ่งที่คิดค้นโดยช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของราชธานีเรา เดิมใช้ติดคานไม้บ้านเรือน ข้าน้อยเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวางกับดัก จึงขอสูตรจากเขาด้วยราคาแพงโข…”
เขาชินกับการโอ้อวดความดีความชอบเพื่อขอรางวัล กลับมิได้นึกถึงว่า ‘พี่น้อง’ ที่อยู่รอบข้างล้วนหิวจนตาแดง เห็นเจ้าอ้วนหาความดีความชอบจึงพากันไม่พอใจ
โดยเฉพาะเจ้าผอม ‘ต้าสู่’ ที่โดนเตะจนหน้าบวมถึงกับกุมหน้าแยกเขี้ยวแดกดันว่า “พอแล้ว เฝยหลง เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว ของเล่นเฮงซวยของเจ้ามิใช่ได้มาจากหวังเอ้อร์หมาของตรอกเอียวจีที่ใช้สำหรับทำกับดักหนูหรอกหรือ สูตรราคาแพงบ้าบออะไรกัน ก็แค่ยางสนกาวไม้กับอะไรจิปาถะผสมกันเข้า ค่ายางสนถังละหนึ่งพวงอีแปะ คิดจะเปลี่ยนมาใช้แป้งเปียก สุดท้ายทำจนเละเทะ เหม็นจนเหล่าเอียวมุดมาหาบิดามิใช่หรือ”
พวกหยิบหย่งของกองคั่นเฟิงที่อยู่ข้างๆ พากันหัวร่อ แดกดันเจ้าอ้วนฉายาเฝยหลงหรือมังกรอ้วนคนละคำสองคำ
เฝยหลงหน้าแดงหน้าเขียว เห็นแววตาของชิวเยี่ยไป๋ที่มองตนจึงพลันมีโทสะ ร้องเสียงแหลมว่า “ไอ้หน้าหมูเอ๊ย เจ้าคิดว่าเจ้าดีนักหรือ ทำไมเจ้าไม่บอกว่ากับดักวิเศษอย่างไร ก็เจ้านั่นแหละที่ไปเป็นชู้กับแม่หม้ายเหมยตรอกเสี่ยวผิงอัน ปรากฏว่าชู้อีกคนของแม่หม้ายเหมยเป็นหลานของบ้านติ้งจวินโหวทุบตีเจ้าปางตาย เจ้าอยากแก้แค้นหลานติ้งจวินโหวเพื่อจะได้เป็นชู้กับแม่เหม้ายเหมยสะดวกยิ่งขึ้น ถึงได้ไปฝึกวิชาขุดหลุมจากตาแก่เล่นปาหี่ข้างถนนมิใช่หรือ!”
พริบตานั้นต้าสู่ชักเดือดดาล กุมหน้ากระโดดเหยง ชี้หน้าเฝยหลง “ซี้ซั้วพูด!”
“มารดาใครซี้ซั้วพูดวะ ใครรู้!” เฝยหลงก้าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
การขุดปมซึ่งกันและกันนี้ทำเอาทุกคนงงงัน ตามด้วยเสียงหัวร่อลั่นจนหลังคาแทบพลิก
เฝยหลงกับต้าสู่ยิ่งพูดยิ่งเดือด ดูท่าจะกระชากคอเสื้อชกกันแล้ว ลืมมิตรไมตรีก่อนหน้านี้ที่รวมหัวกันวางกับดักชิวเยี่ยไป๋ไปสิ้น
เป๋าเป่าเหลือกตา ลูบหน้าผากพึมพำว่า “ไม้ผุแกะสลักไม่ได้จริงๆ”
ชิวเยี่ยไป๋กลั้นหัวร่อ โบกมือให้แยกเฝยหลงกับต้าสู่ออกจากกัน ปรบมือกล่าวว่า “ดีมากๆ คราวนี้ข้าได้เห็นกับตาแล้วว่ายอดฝีมืออยู่ในฝูงชนเป็นอย่างไร!”
น้ำเสียงของชิวเยี่ยไป๋สดใสกังวาน แม้ท่ามกลางเสียงจอแจทุกคนยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
ต้าสู่กับเฝยหลงได้ยินเสียงชิวเยี่ยไป๋ก็ตกใจ จึงยอมปล่อยมือจากบ่าไหล่ของอีกฝ่าย ไม่ถึงกับจิกกัดกันเองเหมือนไก่ตาบอด
“ใต้เท้า” ทั้งสองมองชิวเยี่ยไป๋พร้อมกัน สีหน้าเปลี่ยนจากขาวเป็นเขียวแล้วกลายเป็นแดง ก้มศีรษะลงอย่างอีหลักอีเหลื่อ
ชิวเยี่ยไป๋กลับพยักหน้าเนือยๆ อมยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนเก่งมาก ขอเพียงเป็นฝีมือที่สยบศัตรูได้ ไม่ต้องคำนึงถึงที่มาแล้ว ทุกคนแค่จำไว้ว่ากระบวนท่านี้เป็นอย่างไรบ้างและใช้ได้ดีก็พอ สยบศัตรูให้ได้ในกระบวนท่าเดียว”
เฝยหลงกับต้าสู่อดงงงันมิได้ ยามปกติพวกเขาไม่เคยใส่ใจว่าฝีมือของตนโอ่อ่าหรือไม่ เพราะในความเป็นจริงพวกเขาก็แค่บุตรหลานจากอนุเท่านั้น
พวกเขาคือพวกไม่เอาไหนในหมู่ข้าราชการ คนในตระกูลจำใจให้พวกเขามีที่ซุกหัว จะได้ไม่ทำตัว เสเพลไปวันๆ เอาแต่จับไก่เตะหมาจนพาเอาบุตรหลานดีๆ ของตระกูลเสียชื่อไปหมด
ทุกคนดูถูกดูแคลนพวกเขา บัดนี้ถูกเจ้านายเหนือหัวชมเชยความสามารถประเภท ‘กระจอกงอกง่อย’ ที่เชิดหน้าชูตามิได้ จึงเหมือนดรุณีใหญ่ขึ้นเกี้ยวหามเป็นครั้งแรก พากันอึกอักพูดไม่ออก
ดวงตาของคนอื่นๆ กลับฉายแววประหลาด
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเต็มตา เลิกคิ้วกล่าวว่า “ดูท่ากองคั่นเฟิงของซือหลี่เจียนเราก็เป็นที่ซุ่มพยัคฆ์ซ่อนมังกรเหมือนกันนะ อย่างนั้นวันนี้ข้าจะดูว่าในพวกเจ้ามีใครแสดงฝีมือที่แท้จริงได้บ้าง ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา คืนนี้จะให้คนไปจองโต๊ะเลี้ยงที่เหลาจุ้ยเซียนสักโต๊ะ รับรองว่าเหล้าดีเนื้อดีพอกินแน่ ดีไหม”