เป๋าเป่ามองดูแส้ที่ใช้ลงทัณฑ์ มุมปากเผยรอยยิ้มสะใจ ยามคุณชายสี่โหดขึ้นมายังคงโหดมากทีเดียว
เขากระซิบข้างหูชิวเยี่ยไป๋ว่า “คุณชายสี่ คนที่โดนแส้หวายนี่ครั้งที่แล้วคือคุณชายเทียนฉีที่ถูกเปลื้องผ้าใช่ไหม เขายังแค้นท่านจนถึงวันนี้นะ ท่านไม่กลัวคนพวกนี้แค้นท่านหรือ”
แส้หวายเฆี่ยนคนเจ็บมาก เป็นหวายที่คุณชายสี่ได้มาจากแดนเหมียว ตอนหวดลงไปไม่เพียงเสื้อผ้าไม่เสียหาย แม้แต่ผิวหนังก็แค่เป็นรอยแดงเท่านั้น แต่เนื้อใต้ผิวหนังเละแล้ว การหุ้มอยู่ในผิวหนังโดยไม่แตกออกมาเช่นนี้เจ็บปวดที่สุด
ชิวเยี่ยไป๋เชิดริมฝีปากอย่างเฉยเมย “เทียนฉีเป็นบุตรหลานเพียงหนึ่งเดียวของแม่ทัพเจี่ยง มีความหยิ่งยโสของทหารอย่างเหลือร้ายตั้งแต่เล็ก ถ้าพวกหยิบหย่งพวกนี้มีความทระนงเหมือนเขาสักหนึ่งส่วน ยังต้องให้ข้าจัดการตรงนี้ในวันนี้ด้วยหรือ”
เป๋าเป่านึกดูแล้วก็ใช่ จึงไม่พูดอีก ประคองถ้วยของตนเองชมดูต่อไป
ครู่หนึ่ง เพิ่งเฆี่ยนไปครบสิบครั้ง เฝยหลงก็เกือบสลบเหมือดแล้ว เสื้อผ้าบนตัวถูกเหงื่อเย็นเยียบย้อมจนเปียกโชก แต่คนเสื้อเทาที่ทำหน้าที่ลงทัณฑ์ควบคุมได้ดีมาก แค่ให้เขากระเสือกกระสนอยู่ชายขอบของความเจ็บปวดกับการสิ้นสติแต่กลับไม่สลบไป
บรรดาคนหยิบหย่งเห็นสภาพอเนจอนาถของเฝยหลงแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่มีใครกล้าส่งเสียง คนที่ใจเสาะหน่อยก็สั่นพั่บๆ ไปทั้งตัวแล้ว
ส่วนต้าสู่ที่กำลังแทะเป็ดย่างแปดสมบัติก็กินอย่างไร้รสชาติ ถือเป็ดย่างครึ่งตัวไว้ในมือนั่งมองเฝยหลงที่ถูกลงทัณฑ์อย่างงงงัน และรับรู้ถึงสายตาอิจฉาแกมชิงชังของพรรคพวกที่ถาโถมใส่ตน
ต้าสู่พลันฝืนหัวร่อ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ลางสังหรณ์ของเขาถูกต้อง งานเลี้ยงของใต้เท้าเชียนจ่งก็คืองานเลี้ยงหงเหมิน ที่คนเล่านิทานเล่ากัน
วัตถุประสงค์ของใต้เท้า หลังสยบพวกเขาแล้วคงแบ่งแยกพวกเขาด้วยกระมัง ใต้เท้าดูออกว่าเฝยหลงสะดุดตาที่สุดท่ามกลางพี่น้องและมีบารมีที่สุด
แต่ถ้าพูดออกมาตอนนี้คงไม่มีใครเชื่อแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลจาก ‘การประจบประแจง’
พวกเขาไม่กล้าทำอะไรใต้เท้า ย่อมจะเทความไม่ยินยอมและความหวาดกลัวความเกลียดชังคั่งแค้นโถมทับตัวเขา และเห็นเขาเป็นคนทรยศ
แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม
ในที่สุดก็โบยครบยี่สิบแส้ เฝยหลงเหมือนตายไปแล้วรอบหนึ่งทั้งตัวเหมือนถูกงมขึ้นจากน้ำ ถูกคนเสื้อเทาหามไปวางหน้าชิวเยี่ยไป๋
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขายิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าให้รางวัลและลงโทษยุติธรรมเสมอ เฝยหลง เจ้าไปส้องเสพรางวัลของเจ้าได้แล้ว”
เฝยหลงมองดูใบหน้าสุดหล่อเหลาแต่แววตาเย็นเยียบเบื้องหน้าตน นึกอยาก ‘ถุย’ ใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างทระนง!
ทว่า เขายังไม่มีความกล้าขนาดนี้ อีกอย่างก็หมดแรงแล้ว สุดท้ายจึงได้แต่ก้มหน้าลง ถูกคนเสื้อเทาหนีบไว้แล้วพาลากไปที่โต๊ะอาหารด้านข้าง
ต้าสู่มองดูเขาด้วยแววตาขลาดกลัวอยู่บ้าง ส่วนเฝยหลงถลึงตาใส่ต้าสู่ เขาไม่มีความกล้าไปทุบตีชิวเยี่ยไป๋ แต่ยังกล้าที่จะทุบตีต้าสู่ แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจึงอยากทุบตีต้าสู่ก็ตาม
แต่แค่ปล่อยให้เขาโดนทรมาน ส่วนต้าสู่ดื่มกินเป็นการใหญ่ เฝยหลงคิดว่าแค่นี้ก็น่าทุบตีต้าสู่แล้ว
แม้ขณะนี้เขาจะไม่มีเรี่ยวแรงก็ตาม!
แต่เมื่อต้าสู่จู่ๆ ก็ส่งน่องเป็ดย่างถึงหน้าเขาและกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “กินเถิด ของนี้เคี้ยวง่าย เจ้าไม่ต้องเปลืองแรง”
เฝยหลงเห็นน่องเป็ดหอมกรุ่นที่อยู่เบื้องหน้า ยกมือสั่นเทาขึ้น ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาคงจะปัดน่องเป็ดทิ้ง เขากลับน้ำตาร่วงพรูแล้วคว้าน่องเป็ดกำไว้แน่น แทะเนื้อชิ้นโต “มารดาเอ๋ย ข้าจะกินให้คุ้ม!”
โต๊ะเลี้ยงที่แลกมาด้วยการเฆี่ยนยี่สิบแส้ ขืนไม่กินก็บ้าแล้ว!
บรรดาคนหยิบหย่งมองดูต้าสู่รับใช้เฝยหลงสวาปามอย่างรวดเร็วราวลมหอบใบไม้ร่วง หลังงุนงงและแอบด่าในใจว่าไอ้พวกทรยศไร้ศักดิ์ศรีแล้ว กลับพากันมีความรู้สึกตรงกันอย่างหนึ่ง…หิวแล้ว กลิ่นหอมฉุยทำเอาหลายคนท้องร้องจ๊อก
ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินเสียงท้องร้องก็เปิดดูบันทึกเมื่อครู่ กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ดีมาก คนต่อไป วันนี้กับข้าวพอกินแน่”
หลังจัดการกับเฝยหลงและต้าสู่แล้ว การ ‘ให้รางวัล’ และ ‘การลงโทษ’ อันดับต่อไปก็เป็นไปอย่างราบรื่น
บ้านติดกันดูเหมือนจะแว่วเสียงอู้อี้ที่ไม่รู้มาจากไหนและกลิ่นอาหารหอมฉุยล่องลอยจนถึงยามดึก
และวันนี้ ก็เป็นวันที่พลพรรคกองคั่นเฟิงแห่งซือหลี่เจียนที่ในเวลาต่อมาชื่อเสียงสะท้านทั่วราชสำนักและหมู่ราษฎร ได้เริ่ม ‘เส้นทางการละเล่นอันแสนสุข’ ของพวกเขาครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
และเป็นก้าวแรกของการกลับสู่อำนาจส่วนกลางแคว้นซือหลี่เจียนหลังเงียบงันไปนานปีเมื่อสิ้นมหาจักรพรรดิเจินอู่
…
วุ่นวายตลอดคืน ชิวเยี่ยไป๋แลดูบรรดาคนหยิบหย่งบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่ระเกะระกะกับพื้นด้วยความเจ็บปวดระคนพึงพอใจ นางยิ้มไปแคะฟันไปพลางกล่าวว่า “พรุ่งนี้พวกเรามาเล่นอะไรสนุกๆ กันไหม”
คราวนี้ทุกคนตื่นตัวแล้ว การละเล่นของใต้เท้าเชียนจ่งไม่ใช่เกมธรรมดาแน่
“ใต้เท้า…” ต้าสู่ใจระรัวกล่าวว่า “ท่านจะเล่นอะไรหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋เท้าคางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ง่ายมาก พวกเจ้าไปบ้านหลังหนึ่งในเมือง พาคนสองคนมาให้ข้า”
“ตีให้สลบ หรือปล้น” ต้าสู่ถามเลียบเคียง
ชิวเยี่ยไป๋โบกมือ “ไม่ต้องๆ ตรงเข้าไปเอาตัวเลยก็พอ แต่…”
“แต่อะไรหรือ” ต้าสู่ชักสงสัยและนึกระแวดระวังในใจ
ชิวเยี่ยไป๋นึกดู “มีเพิ่มอีกเรื่อง พวกเจ้าช่วยขโมยกางเกงชั้นในของเจ้าของบ้านมาให้ข้าด้วย”
อะไรนะ ไปขโมยกางเกงชั้นในเจ้าของบ้านกลับมาด้วยหรือ
นี่…นี่…พวกเขา…ไม่ได้ฟังผิดกระมัง
“ใต้เท้า ท่านบอกให้พวกเราไปขโมย…” แม้แต่เฝยหลงที่อาการร่อแร่รวยรินก็ยังได้สติในพริบตา และสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้ายืนยันสิ่งที่พวกเขาคิด “ไม่ผิด เป็นอย่างที่พวกเจ้าคิด!”
บรรดาคนหยิบหย่งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก “นี่…เอ่อ…ทำไมถึงต้องไปขโมยกางเกงในบุรุษ”
มีคนพึมพำอย่างอดมิได้ “ใต้เท้า ถ้าท่านจะฝึกพี่น้องพวกเรา ก็น่าจะหาสตรีนี่นา”
ต้าสู่ก็พึมพำ “นั่นนะสิ ขโมยของดีทั้งทีจะดีจะร้ายก็น่าจะเป็นคนงาม ไปเอาของบุรุษ พวกเราไม่มีรสนิยมเหมือนโจวอี้จ่างสักหน่อย”
คนที่ชมชอบบุรุษในประดานี้กล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ต่อให้พวกเราชอบแบบนั้นก็ต้องดูหน้าก่อน ขืนเหมือนเจ้าเฝยหลงคงไม่ไหว ใช่หรือไม่!”
ทุกคนฟังแล้วพากันจ้องเฝยหลงแล้วแอบหัวร่อ ทำเอาเฝยหลงเขม้นใส่อย่างเดือดดาล
ชิวเยี่ยไป๋กลับหัวร่อเบาๆ “ใครบอกพวกเจ้าว่าไม่ใช่คนงาม”
ทุกคนฟังแล้วตาลุก “หา หรือว่าเจ้าของบ้านนี้เป็นสตรี”
ชิวเยี่ยไป๋เท้าคางมือเดียว แคะฟันพลางกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “สรุปแล้วเป็นคนงามชนิดที่พวกเจ้าไม่เคยพบก็แล้วกัน”