ต้าสู่ที่ทำท่าเหมือนพ่อบ้านอยู่ด้านข้างชำเลืองคนที่นั่งบนเก้าอี้ นึกในใจว่าโตขนาดนี้แล้วยังซี้ซั้วเอนตัวนอน แถมยังยกขาขึ้นด้วย ดูแล้วท่าทางเหมือนเหล่าหวังที่ชอบคู้ขา แต่ดูอย่างไรก็รู้สึกต่างกันมาก
“มองอะไร” ชิวเยี่ยไป๋เหมือนมีตาสี่ข้างที่เห็นทุกอากัปกริยาของต้าสู่
ต้าสู่รีบยิ้มอย่างประจบประแจง “ใต้เท้าไม่เห็นหรือว่าหญิงยกน้ำชาจิตใจหวั่นไหวแล้ว เมื่อครู่เจ้าอวิ๋นจื่อกับเหล่าเอียวก็ต้องตาหญิงรับใช้ สุดท้ายโดนแม่นางผู้นั้นสาดน้ำชาเต็มหน้า ท่าทางคู้ขาของท่านน่าดูจริงๆ เรียกว่าอะไรดีนะ…”
ชิวเยี่ยไป๋มองต้าสู่แวบหนึ่ง “ต้นไม้หยกต้องลม ปล่อยปละมิร้อยรัด”
ต้าสู่รีบผงกศีรษะหงึกหงัก “ถูกต้อง ท่าทางคู้ขาของใต้เท้าเหมือนต้นไม้หยกต้องลม ปล่อยปละมิร้อยรัด!”
ชิวเยี่ยไป๋นึกขันร้องเฮอะกล่าวว่า “เอาเถอะ เจ้าประจบเช่นนี้ข้าไม่อยากฟัง”
เห็นต้าสู่หน้าซีด นางก็รู้ว่าเขานึกถึงการโดนเฆี่ยนเพราะ ‘ตกรางวัลและลงโทษอย่างยุติธรรม’ เมื่อคืนวาน จึงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าเพราะเรื่องนี้หรอก แต่จะว่าไปแล้วปฏิบัติการของพวกเฝยหลงเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
ต้าสู่เห็นนายเหนือหัวบอกว่าจะไม่ทำโทษจึงถอนใจเฮือก ตอบทันทีว่า “คงใกล้แล้ว น่าจะจัดแจงเสร็จแล้ว”
ว่าแล้วก็ยื่นกล้องส่องทางไกลตาเดียวที่ทำด้วยทองเหลืองให้
ชิวเยี่ยไป๋ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง รับมาเดาะในมือ “พวกเจ้าไปเอาของเล่นนี่มาจากไหน”
ต้าสู่ก็ล้วงออกมาอีกอัน ใช้ผ้ากำมะหยี่บรรจงเช็ดพลางกล่าวว่า “คราวที่แล้วเหล่าเยี่ยจื่อที่เป็นสหายของบุตรเจิ้นหนานกงไปพนันม้าด้วยกัน และชนะพนันบุตรของเจิ้นหนานกงได้มาตั้งเจ็ดแปดอันทำเอาบุตรของเจิ้นหนานกงโมโหยกใหญ่”
“ฮ่าๆ…” ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อ นางเดาอยู่แล้วว่าต้องเป็นคำตอบเช่นนี้ นางจึงดึงกล้องออกส่องดูนอกหน้าต่าง
เหลาน้ำชาถัดไปอีกสองถนนตรงกับหอน้อยของไป๋หลี่ชูพอดี และบังเอิญที่ตั้งของเหลาน้ำชาอยู่บนเนิน จึงเท่ากับอยู่สูงกว่าหอน้อยของไป๋หลี่ชู แทบจะส่องเห็นกระทั่งดอกไม้ในลานบ้านสีอะไรอย่างชัดเจน
แต่เนื่องจากคั่นด้วยถนนสองสาย ดังนั้นเหลาน้ำชานี้จึงไม่เป็นเป้าหมายเด่นชัดเหมือนเหลาน้ำชาใหญ่หลายแห่งที่อยู่ใกล้กับหอน้อยของไป๋หลี่ชู
การหาที่ซุ่มมองได้เช่นนี้ถือว่าได้มาตรฐานขั้นพื้นฐานของการสืบเสาะความลับแล้ว…มิดชิด และเป็นหัวคิดของคนชื่อเสี่ยวโหลวซึ่งเป็นหนึ่งในคนหยิบหย่ง แน่นอน ที่เขาวางแผนได้เช่นนี้ก็เพราะเคยขโมยไข่มุกราตรีที่บูชาในศาลบรรพชนบ้านเขาเองท่ามกลางสายตาคนมากมาย
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วรู้สึกว่าในกลุ่มคนหยิบหย่งมีผู้มีความสามารถมากโขอยู่
นางใช้กล้องส่องทางไกลตาเดียวส่องไปทางหอของไป๋หลี่ชู ก็เห็นองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนที่ลาดตระเวนอยู่นอกบ้าน ยังมีองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนซุ่มตัวอยู่ในซอกมุมของบ้านที่ถูกบุกรุกได้ง่าย แม้แต่หลังคาก็มีคนฟุบหมอบอยู่ แทบจะคุ้มครองหอน้อยทั้งหลังชนิดไม่มีที่ใดหลงหูหลงตาได้เลย
ลานบ้านบุปผานานาพรรณบานสะพรั่ง และซวงไป๋กำลังใช้กรรไกรตัดเล็มกิ่งใบอย่าง ‘แสนดี’
แต่ไม่เห็นเสื้อแดงหรือเสื้อดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไป๋หลี่ชู
หลังใช้กล้องส่องทางไกลส่องตามที่ต่างๆ ของหอน้อยเท่าที่ส่องได้แล้ว ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไมจึงไม่เห็นพวกเฝยหลง”
ต้าสู่ขยับกล้องของตนไปมาแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “รีบดูเร็ว รีบดู นั่นอย่างไร ทางมุมถนน!”
ชิวเยี่ยไป๋วาดกล้องไปตามที่บอก เห็นเงาร่างในชุดเสื้อผ้าปุปะสองคนกำลังเดินช้าๆ ไปทางประตูใหญ่
นางเห็นสารรูปของคนทั้งสอง พริบตานั้นมุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้ “นี่…มีขอทานอ้วนขนาดนี้ด้วยหรือ”
และเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงนางที่สงสัยเช่นนี้ พวกองครักษ์ของค่งเฮ่อเจียนก็สงสัยเช่นกัน
ขอทานสองคนกำลังพยุงซึ่งกันและกันเดินไปทางประตูบ้านหอน้อย องครักษ์เฝ้าประตูชุดขาวสองคนมองพวกเขาอย่างตื่นตัวและยื่นกระบี่ในมือขวางไว้ทันที “ไปเสีย ที่นี่มิใช่ที่จะมาขอทาน”
แน่นอน พวกเขาเห็นหนึ่งในสองคนนั้นอ้วนจนตัวกลม พวกเขาสีหน้าประหลาดใจ เพราะนี่เป็นขอทานอ้วนที่สุดเท่าที่เคยเห็น ทำไมถึงอ้วนได้ขนาดนี้ พักนี้อาหารการกินที่ขอได้ดีมากหรือ
และเศษผ้าปุปะที่คลุมร่างเขาเหมือนแถบผ้า ดูแล้วเหมือนลูกเนื้อก้อนกลมเคลื่อนไหวได้ที่คลุมแถบผ้าไว้เต็มไปหมด
เฝยหลงอิงบนตัวพรรคพวก พบว่าถูกขวางไว้จึงแบมืออย่างน่าสงสาร “พี่ชาย ทำบุญทำทานเถิด ขออะไรกินบ้าง พวกเราอดมาสามวันสามคืนแล้ว!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเฝยหลงไม่น่าเชื่อแม้แต่น้อย องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนมองดูเขาอย่างไร้ความรู้สึก “ไปให้พ้น!”
เฝยหลงเหมือนจนใจ จึงใช้ศอกถองคนตัวโย่ง “เฮ้ต้าจ้วง พี่ชายสองท่านนี้ไม่เชื่อเรา ข้าพูดไม่เก่ง เจ้าลองบอกพี่ชายสองท่านนี้สิ”
คนที่ถูกเรียกว่าต้าจ้วงตัวผอมเหมือนไม้ไผ่แต่สูงชะลูด ตรงข้ามกับเฝยหลงพอดี เฝยหลงอิงบนตัวเขาดูแล้วเหมือนไม้ไผ่ลำหนึ่งแบกเขียงอันใหญ่ไว้แถมยังเป็นเขียงขนาดยักษ์ด้วย ทำเอาองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนนั้นสงสัยว่าไม้ไผ่ลำเล็กจะถูกเขียงล้มทับหรือไม่
คนเช่นนี้ถึงกับชื่อต้าจ้วง (แปลว่า กำยำล่ำสัน)
ต้าจ้วงเห็นสายตาองครักษ์จ้องมาที่ตนเอง พริบตานั้นก็หน้าแดงกล่าวตะกุกตะกักว่า “พี่ชาย พวกท่านหล่อเหลาขนาดนี้ต้องเป็นคนใจดีแน่เลย ทำทานให้เงินพวกเราบ้างนะ”
เสียงของต้าจ้วงไม่สมชื่อ เสียงเล็กเสียงน้อย บวกกับท่าทางกระบิดกระบวนและแววตาที่เหมือนแอบมองพวกเขา ทำเอาองครักษ์ทั้งสองคนตะครั่นตะครอสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ
เดิมทีองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนหน้าตาดีที่สุดอยู่แล้ว แม้บางครั้งยามออกข้างนอก พวกเขาจะอำพรางเล็กน้อยเพื่อมิให้ดูสะดุดตาเกินไป แต่หน้าตาคิ้วคางยังคงดูดีมาก และท่าทางของต้าจ้วงทำให้พวกเขานึกถึงสายตาพวกบุตรหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่ชอบไม้ป่าเดียวกัน
หากมิใช่พวกเขาล้วนเป็นคนของเจ้านาย วิทยายุทธ์สูงล้ำและได้ชื่อว่า ‘ชายสงวน’ เกรงว่าพวกบุตรหลานชนชั้นสูงประดานั้นคงกระโจนเข้าขย้ำพวกเขาแล้ว
ขอทานคนนี้ เห็นได้ชัดว่าตะเภาเดียวกันกับพวกบุตรหลานชนชั้นสูง
องครักษ์สีหน้าเย็นลงทันที หนึ่งในนั้นคลำไปที่เอวล้วงเหรียญอีแปะกำหนึ่ง โยนไว้ที่เท้าของเฝยหลงกับต้าจ้วงโดยไม่มอง กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เอาเงินแล้วรีบไป ข้าเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ขืนพัวพันต่อไปอย่าโทษว่าข้ากับพี่น้องไม่เกรงใจ”
ใต้เท้าซวงไป๋สั่งไว้แล้ว ถ้าเจอะขอทานแถวนี้มาพัวพันหรือจะเป็นใครก็ตาม ถ้าให้เงินแล้วไล่ไปได้ก็ให้เลย อย่าทำให้คนอื่นสนใจ
เฝยหลงมองดูเหรียญอีแปะที่โยนใส่เท้าตนแล้วมองต้าจ้วงแวบหนึ่ง เห็นเขายังคงมองพี่ชายสองคนเบื้องหน้าอย่างตะลึงลาน ก็บิดแรงๆ หนับหนึ่งอย่างอดมิได้ “เก็บขึ้นมาสิ!”