ต้าจ้วงจึงตื่นจากความฝันรีบก้มลงหยิบเงิน หลังเก็บเสร็จแล้วก็ซุกไว้อย่างรอบคอบและคลายมือจากเฝยหลง จากนั้นก้าวไปขอบคุณอย่างขวยเขิน “ขอบคุณพี่ชายทั้งสองที่ประทานให้ ข้าน้อยเห็นท่านทั้งสองก็รู้แล้วว่าท่านเป็นคนดี ข้าน้อยมีเรื่องจะบอกท่านด้วยนะ…”
เห็นต้าจ้วงจะชิดใกล้เหมือนหลิวอ่อนต้องลม ดวงตาองครักษ์ทั้งสองฉายแววเย็นเยือก พริบตาที่ต้าจ้วงเข้าใกล้ กระบี่ยาวในมือก็หลุดจากฝักพาดที่คอของต้าจ้วง “หาที่ตาย!”
ท่าทางเคร่งขรึมของพวกเขาเดิมทีก็น่ากลัวอยู่แล้ว บัดนี้ยังมีกลิ่นอายของการฆ่าฟันด้วย ต้าจ้วงตกใจจนตัวแข็งในพริบตา
เดิมทีองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนนี้ตั้งใจจะขู่ให้ขอทานสองคนนี้ไปเสีย เห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ก็คิดว่าบรรลุตามเจตนาแล้ว นึกไม่ถึงว่าแม้จะข่มขู่ได้ผล ทว่า…
“โอยๆ โอยๆ…ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว!” ต้าจ้วงพลันกรีดร้องดังลั่น
องครักษ์สองคนตกใจสะดุ้งโหยง จะอย่างไรพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าเสียงร้องของบุรุษจะแหลมสูงขนาดนี้ ราวกับกรีดสู่ฟากฟ้า
เสียงกรีดร้องนี้ดึงดูดสายตาคนที่เดินไปมาอย่างรวดเร็ว ต่างพากันเข้ามามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนไหนเลยจะเคยเจอะเจอคนเหลวไหลเช่นนี้ จึงไม่รู้จะทำอย่างไร พากันตวาดว่า “ฆ่าคนที่ไหน หุบปาก!”
แต่พวกเขายิ่งตวาด กลับแลกมาซึ่งเสียงกรีดร้องแหลมกว่าเดิม “ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว!”
องครักษ์สองคนมองหน้ากันและรู้สึกว่ามิเป็นการเสียแล้ว แต่ต้าจ้วงยังคงกรีดร้องไม่หยุด ราวกับเจอะเจอเรื่องเอน็จอนาถสุดแสน คนที่มองดูก็มากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มชี้มือชี้ไม้วิพากษ์วิจารณ์
นี่ช่างไม่สอดคล้องกับคำสั่งของใต้เท้าซวงไป๋ที่ให้ทำตัวเงียบๆ เลย!
และแล้วยามนี้ประตูใหญ่พลันเปิด แอ้ด เงาสีขาวอีกร่างถลันออกมา เป็นอีไป๋เอง เขาคลุมหน้าด้วยแพรดำปกปิดใบหน้างดงามไว้ เพียงเผยดวงตาคู่หนึ่งที่วาววับ
“นี่มันอะไรกัน ใครมาเอะอะแถวนี้!”
ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่บนหอสูงมองผ่านกล้องส่องทางไกลเห็นถนัดตา มุมปากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ละครฉากสำคัญจะเริ่มแล้วกระมัง มิรู้ว่าฝ่าบาท ‘องค์หญิง’ จะออกโรงไหมหนอ
ที่หน้าประตูบ้าน องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนทั้งสองรายงานต่ออีไป๋อย่างย่นย่อ อีไป๋มองต้าจ้วงที่กรีดร้องอย่างเย็นชา “หุบปาก!”
อีไป๋เป็นหัวหน้าองครักษ์ค่งเฮ่อเจียน ราศีและพลานุภาพไม่ธรรมดา กลิ่นอายบนกายเหมือนคมดาบเย็นเยียบ ข่มเอาต้าจ้วงหยุดร้องฉับพลันเหมือนไก่โต้งถูกบีบคอ กลืนเสียงกรีดร้องลงไปอย่างแข็งขืน
ต้าจ้วงกับเฝยหลงสยิวกายพร้อมกัน รู้สึกว่าคนคลุมหน้าที่อยู่เบื้องหน้านี้เย็นเยือกจนน่ากลัว โดยหารู้ไม่ว่ากลิ่นอายเย็นเยือกรุนแรงนี้เป็นกลิ่นอายเฉพาะตัวของมือสังหารที่ฆ่าคนมานับพัน ไม่เช่นนั้นต่อให้ยืมหัวใจเสืออีกร้อยดวงก็ไม่กล้ามาตอแยแน่
อีไป๋เห็นพวกเขาหุบปากก็กวาดตาเย็นชาใส่คนที่มุงดู “ไปเสีย หรือใครคิดจะอยู่เป็นเพื่อนกับไอ้สองคนนี้”
คำพูดเปี่ยมด้วยการคุกคามหนาวเหน็บ พริบตานั้นคนที่มุงดูก็กระจายหายไปราวฝูงนกฝูงสัตว์แตกฮือ
บุรุษชุดขาวหลายคนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่ามิใช่คนดี กลิ่นอายบนตัวถ้ามิใช่พวกมิจฉาชีพก็ต้องเป็นองครักษ์ของเจ้าใหญ่นายโตแน่ พวกเขาก็แค่คนเดินถนน จะไปออกหน้าให้ขอทานสองคนหาอะไรกัน
ครู่เดียวคนที่มุงดูก็หายไปหมด
เฝยหลงกับต้าจ้วงตะลึงอยู่กับที่
ส่วนอีไป๋หรี่ตามองคนทั้งสอง “พวกเจ้าเป็นใคร คิดจะทำอะไร พูดความจริงหรือไม่ก็ตาย!”
ต้าจ้วงกับเฝยหลงรู้สึกตนเองเหมือนแพะแกะที่ถูกพยัคฆ์ร้ายจับจ้อง สยิวกายในพริบตา
บุรุษเบื้องหน้าคนนี้มิได้ขยับดาบหรือกระบี่ แต่พวกเขารู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้พูดเล่นเด็ดขาด
เฝยหลงมองดูต้าจ้วงที่ไม่กล้าพูดและตกใจจนปัสสาวะเกือบราด ก็นึกด่าต้าจ้วงในใจและสรรเสริญบรรพบุรุษชิวเยี่ยไป๋แปดชั่วโคตรรอบหนึ่ง ใช้สอยพวกเขาเหมือนชาวนาที่ไม่ประสีประสาหรืออย่างไร แม้พวกเขาจะทำตัวเหมือนอันธพาลชั้นต่ำอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่อยู่ดี
เขามองปราดเดียวก็รู้ว่านี่ไม่ใช่องครักษ์ของบ้านพ่อค้าสักนิด เย็นเยือกน่ากลัว ใต้เท้าเชียนจ่งแกล้งพวกเขาอีกแล้ว กลิ่นอายเช่นนี้นอกจากพวกเจ้าใหญ่นายโตแล้วก็ไม่มีอื่นอีก ใต้เท้าคงมิใช่ต้องตาคุณหนูใหญ่บ้านขุนนางใหญ่กระมัง
แต่อย่างไรก็ตาม บัดนี้พวกเขาได้แต่เลยตามเลย ดั่งธนูที่น้าวศรแล้วอย่างไรก็ต้องยิง ต่อให้เป็นองค์หญิงของฮ่องเต้ พวกเขาก็ต้องเอากางเกงในไปให้ได้!
เฝยหลงเดิมเป็นคนรั้นอยู่แล้ว พอพบว่าไม่ถูกต้องก็มิได้คิดจะหนี ยังคงกระโผลกกระเผลกเข้าอิงตัวต้าจ้วง เท่ากับบีบให้ต้าจ้วงพาตนเข้าใกล้อีไป๋
“พี่ชายท่านนี้ พวกเราหากินข้างถนน ที่มาตรงนี้ก็เพราะมีคนไหว้วาน จึงย่อมต้องซื่อสัตย์ต่อคนที่ไหว้วาน” เฝยหลงปั้นหน้าประจบประแจง
อีไป๋ฟังแล้ว ดวงตาเย็นเยียบคมกริบหรี่ลง “ใครไหว้วานและให้ทำอะไร”
เขารับฟังเรื่องการจัดการกับโจวอวี่และราชครูของเจ้านายจากซวงไป๋ ดังนั้นพอเห็นที่ประตูผิดปกติ ก็สงสัยว่าเป็นคนที่ชิวเยี่ยไป๋ส่งมา จึงสู้ยอมอดทนฟังคำพูดเหลวไหลของสองคนนี้ ไม่เช่นนั้นคนที่บังอาจมาเอะอะหน้าบ้านเจ้านายต้องถูกทุบจนสลบแล้วโยนลงแม่น้ำ
เฝยหลงเห็นได้ทีจึงชิดเข้าไปอีก ทำทีลึกลับ “เป็นผู้เยาว์ที่หล่อเหลาทีเดียว เขาให้พวกเรามาพาหลวงจีนผมขาวคนหนึ่งไป ยังมีเพื่อนเขาอีกคนเป็นบุรุษเช่นกัน เขาบอกว่าถ้าพวกเราพาคนที่นี่ไป นอกจากจะตกรางวัลเงินคนละร้อยตำลึงแล้ว พวกท่านก็จะให้พวกเราอีกคนละร้อยตำลึงด้วย”
ภายใต้สายตาของอีไป๋ ต้าจ้วงรู้สึกตะครั่นตะครอ พอเห็นเฝยหลงพูดเช่นนี้ก็นึกด่าในใจ ไอ้อ้วนจอมโลภเอ๋ย ใต้เท้าเคยพูดเสียที่ไหน ไม่รีบทำให้แล้วเรื่อง ยามอันตรายเช่นนี้ยังอุตส่าห์จะโกหกพกลมหาเศษหาเลยอีก!
อีไป๋งงงันเลิกคิ้ว “เงินหนึ่งร้อยตำลึงหรือ”
ตามภาวะขณะนี้เงินยี่สิบตำลึงเท่ากับค่าใช้จ่ายของครอบครัวขนาดเล็กหนึ่งปีทีเดียว ชิวเยี่ยไป๋หน้าใหญ่ใจโตเกินไปแล้วกระมัง
แต่ในเมื่อเจ้านายสั่งไว้แล้ว…
อีไป๋โบกมือ สั่งองรักษ์ค่งเฮ่อเจียนคนหนึ่ง “ไปบอกข้างในเตรียมหน่อย พาคนออกมาและเตรียมเงินไว้สองร้อยตำลึง”
องครักษ์ผู้นั้นผงกศีรษะรับคำสั่งแล้วเข้าไปด้านใน
เฝยหลงเห็นท่าทางยอมรับอย่างง่ายดายของอีไป๋พลันนึกเสียดาย ดูท่าเขาเรียกน้อยไปหน่อย น่าจะเรียกสักสองร้อยตำลึง
ครู่หนึ่ง องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนผู้นั้นก็ออกมาพร้อมด้วยตั๋วเงินสองใบและคนอีกหนึ่งคน เขามอบตั๋วเงินให้อีไป๋และกล่าวว่า “เจ้านายบอกว่าให้โจวอวี่ออกมาก่อน ส่วนไต้ซือช้าหน่อย”
อีไป๋มองดูโจวอวี่ที่ท่าทางมึนงง ดวงตาหม่นลงแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเหมือนบอกต่อให้เฝยหลงกับต้าจ้วง “พวกเจ้าได้ยินแล้วสินะ”