ไป๋หลี่ชูโบกมือคราหนึ่ง องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนรีบลดเกาทัณฑ์ลงและเห็นต้าจ้วงแบกเฝยหลงหนีไป
พวกเขาอดชื่นชมมิได้ เจ้าต้าจ้วงเจ็บหนักชัดๆ และผอมเหมือนไม้ไผ่ ถึงกับแบกลูกหนังเนื้อที่หนักกว่าเขามากโขวิ่งไปได้ มองแต่ไกลเหมือนไม้จิ้มฟันมีขาที่เสียบ ‘ลูกชิ้นหมูลูกใหญ่’ กำลังวิ่ง และ ‘ลูกชิ้นหมูลูกใหญ่’ ยังกระเด้งกระดอนบน ‘ไม้จิ้ม’ ด้วย
ไป๋หลี่ชูถามเนือยๆ “นี่มันอะไรกัน”
องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนคนหนึ่งที่ติดตามข้างกายเขาก้มหน้าลงอย่างละอาย “ทูลฝ่าบาท…พวกเราหละหลวมเกินไป นึกไม่ถึงว่าเจ้าขอทานอ้วนบาดแผลเต็มตัวท่าทางขี้ขลาดเหมือนหนูจะร้ายกาจ จึงมัวแต่ระวังเหตุภายนอก ปล่อยให้มันแอบมุดไปราวตากผ้าหลังบ้าน ข…ขโมย…ก…กาง…”
ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้ว “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องอีก วันหลังก็ไม่ต้องมีลิ้นแล้ว”
องครักษ์ผู้นั้นสะดุ้งโหยงแล้วหน้าแดงทันทีกล่าวว่า “ขโมยกางเกงในของท่านไปด้วย”
ความจริงขอทานสองคนเพิ่งขโมยไปพวกเขาก็รู้แล้ว หากมิใช่ฝ่าบาทปล่อยให้พวกเขาไป เดิมทีพวกเขาไม่มีทางไปได้อยู่แล้ว
ไป๋หลี่ชูฟังแล้วอึ้งงัน ไม่รู้จะพูดอะไร ลงมือเอิกเกริกขนาดนี้ก็เพื่อกางเกงในของเขาตัวเดียวหรือ
เขาเงียบไปครู่หนึ่งพลันสั่งว่า “ไปเอากางเกงในทั้งลิ้นชักในห้องแต่งตัวของข้าอบร่ำกำยานแล้วส่งไปหอน้ำชาบนเนินใกล้แม่น้ำเงียบๆ”
องครักษ์คนนั้นงงงัน “ส่งไปให้ใครพ่ะย่ะค่ะ”
เขาคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ถ้าประเมินไม่ผิด การจะเห็นพวกเราตรงนี้อย่างถนัดตาและลมไม่แรงเกินไป น่าจะเป็นห้องชั้นสามที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ บอกให้เถ้าแก่เอาไปมอบให้ผู้เยาว์คนหนึ่งที่หน้าตาดีที่สุดในหมู่แขกที่เข้าพัก บอกว่านี่เป็นของฝากรัก”
ของฝากรัก?
องครักษ์ผู้นั้นงุนงงแวบหนึ่ง แต่สีหน้ายังคงนอบน้อมเช่นปกติ “พ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้ซวงไป๋เข้ามาแล้ว เห็นเจ้านายไม่มีท่าทีว่าจะไปไหนอีก จึงก้าวเข้าไปทูลเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท ท่านยังจะออกไปไหม”
ไป๋หลี่ชูที่อยู่ในบ้านเงยหน้าขึ้นมองดูหอน้อยอีกครั้ง เผยรอยยิ้มบางๆ อย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ไม่ ไม่ต้องไปแล้ว ส่งใจไปถึงก็พอ”
เสี่ยวไป๋ ข้าช่วยเจ้ามากขนาดนี้ ทั้งฝึกคนทั้งส่งของฝากรัก จะเอาอะไรจากตัวเจ้าคืนมาบ้างถึงจะดีหนอ
ซวงไป๋กับอีไป๋ที่เพิ่งจะเข้ามาเตรียมจะพาคนไปซื้ออาหารสบตากัน
พวกเขาต่างเห็นแววตาอึมครึมของอีกฝ่าย
ดาบโค้งกู่เหลียนออกจากฝัก ไม่เปื้อนเลือดมิกลับคืน
นี่เป็นครั้งแรกที่ดาบโค้งกู่เหลียนเข้าฝักโดยไม่เปื้อนเลือด
แม้ฝีมือของอีกฝ่ายจะเหมือนอันธพาลขี้โกง แม้เจ้านายของตนจะให้พวกเขายั้งมือ แต่พวกเขาติดตามเจ้านายมานานปี แต่ไรมามีแต่ศัตรูที่กลัวเกรงราวพบกับเทพแห่งความตาย
แม้ที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย แต่ไม่เคยเสียเปรียบชนิดอัดอกเช่นนี้
สภาพเมื่อครู่ทำเอาอีไป๋ซวงไป๋สองหัวหน้าองครักษ์ใหญ่รู้สึกอัดอั้นยากจะทนทานเป็นครั้งแรก ไม่เพียงปล่อยให้พวกมันเข้าประชิดตัวเจ้านาย ทั้งยังฆ่าไม่ได้ทุบตีก็ไม่ได้
กระบวนท่าไอ้พวกนักเลงถ่อยเถื่อนชวนโมโหเป็นที่สุด แต่กลับทำให้พวกเขาที่แสดงฉากยมทูตจนเคยชินอับจนใจ จำต้องเหมือนคนใบ้อมบอระเพ็ด
โดยเฉพาะหลังรู้ฐานะของพวกคนถ่อยแล้ว ก็ยิ่งทำให้อีไป๋ซวงไป๋แลพวกองครักษ์ยากจะทนทาน
กองปู่เฟิงที่เก่งกาจที่สุดในซือหลี่เจี้ยนในสายตาพวกเขาไม่คณามือเลยแม้แต่น้อย ยามปกติจะหิ้วรองเท้าให้พวกเขายังไม่มีคุณสมบัติด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสัดใส่ข้าวของกองคั่นเฟิง
ขืนเรื่องนี้แพร่ออกไป พวกเขาคงไม่อาจจะบากหน้าเดินเหินในราชธานีต่อไปแล้ว
ดวงตาของอีไป๋กับซวงไป๋ฉายแววสังหารอึมครึม
จะอย่างไรก็ตาม นอกเสียจากฝ่าบาทมีคำสั่งห้ามไว้ จะช้าหรือเร็วพวกเขาต้องกู้หน้าคืนมาให้จงได้ ต้องให้ไอ้พวกกเฬวรากรู้เสียบ้างว่าหม่าหวังเหยมีสามตา[1]!
บรรดาองครักษ์ต่างสบตากันด้วยแววอึมครึม มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับหัวหน้าและหัวหน้าลงทัณฑ์ของตน
ไป๋หลี่ชูเป็นคนระดับใดแล้ว มีหรือจะไม่รู้ความไม่พอใจในแววตาของเหล่าสมุน แต่เขาก็ไม่เปิดโปง เพียงหันกายกลับเข้าห้องอย่างมินำพา
ถึงอย่างไร เรื่องน่าสนุก เขาล้วนสนใจจะเข้าร่วม แน่นอน ย่อมรวมถึงการชมละครด้วย
คนเบื้องล่างปั่นป่วนเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีส่วนช่วยให้ไมตรีระหว่างเขากับเสี่ยวไป๋คืบหน้าก็เป็นได้ ให้เสี่ยวไป๋ได้สำเร็จการใหญ่ในการจัดการกับเขาบนเตียง
ไป๋หลี่ชูนึกถึงฉากนี้ก็รู้สึกน่าสนใจเป็นที่สุด
ซวงไป๋เหลือบเห็นโดยไม่ตั้งใจถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทั้งเบิกบานแลคาดหวังของผู้เป็นนาย ก็ได้แต่ลอบถอนใจคราหนึ่ง
อีไป๋เห็นไป๋หลี่ชูกลับเข้าหอแล้ว แววตาเขาออกจะอึมครึมอยู่บ้าง “ฝ่าบาทจะยับยั้งพวกเราไหม”
ซวงไป๋สั่นศีรษะ ร้องเหอะเบาๆ “แต่ไรมาฝ่าบาทชมชอบความครึกครื้น บัดนี้เกรงว่าน่าจะตรงใจฝ่าบาทพอดี”
เขารู้สึกเสมอมาว่าฝ่าบาทของตนน่าจะเพราะวัยเด็กเงียบเหงาเกินไป จึงบ่มเพาะเป็นนิสัยกลัวแต่ว่าใต้ฟ้ามิวุ่นวาย ชอบ ‘จัดแจงให้คนขึ้นเวทีเล่นละคร’ เป็นที่สุด ซ้ำร้ายพออารมณ์ได้ที่ ตนเองก็จะสอดแทรกเข้าเล่นด้วย ต่อให้อาจพัวพันถึงตนเองบ้างก็มินำพาแม้แต่น้อย
แค่อยากให้ ‘ยอดเยี่ยม’ เท่านั้น
ที่เด่นชัดที่สุดก็คือทั้งที่สามารถล้างตระกูลตู้ได้โดยตรง แต่กลับปล่อยให้ค่อยๆ ทรมาน
ยังมีใต้เท้าชิวอีก…
จนถึงบัดนี้เขายังคงดูไม่ออกว่าฝ่าบาทคิดอย่างไรกับใต้เท้าชิว เพราะพบคนที่น่าลุ่มหลงจริง หรือว่าความจริงแล้วพบของเล่นที่น่าสนใจกันแน่
และยามนี้ ทั้งอีไป๋กับซวงไป๋หารู้ไม่ว่า ความแค้นระหว่างยอดฝีมือค่งเฮ่อเจี้ยนซึ่งเขาทั้งสองเป็นตัวแทน กับพวกหยิบหย่งรากหญ้าของซือหลี่เจี้ยน เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
บนหอน้ำชาไม่ไกลนัก ชิวเยี่ยไป๋วางกระบอกกล้องส่องทางไกลในมือลง แล้วยิ้มน้อยๆ เฮ้อ สงครามระหว่างพวกแมวพื้นบ้านขี้เหร่กับแมวเปอร์เซียแสนงดงามนี้ การแสดงออกของแมวพื้นบ้านขี้เหร่เหนือความคาดหมายของนาง ถึงกับทำเอาพวกแมวเปอร์เซียที่เขี้ยวเล็บแหลมคมแถมได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีต้องกล้ำกลืนความอัปยศไว้
สภาพเช่นนี้ทำเอานางนึกถึงคำพังเพยที่ทรงความหมายประโยคหนึ่งเมื่อชาติที่แล้ว…อย่าได้ต่อยตีกับสุกร เจ้าจะเปื้อนโคลนทั้งตัว และหมูมีแต่จะดีใจ
แม้พวกแมวขี้เหร่จะชนะไม่ขาวสะอาดนัก แต่สุดท้ายหัวหน้าปีศาจนั่นยังคงปล่อยพวกแมวรอดตัวไป แต่การประมือที่ต่างระดับกันนี้ ถึงอย่างไรก็ถือว่าพวกแมวพื้นบ้านชนะอย่างงดงาม
พวกแมวเปอร์เซียได้แต่โกรธจนแยกเขี้ยวกางเล็บ โดยเฉพาะเจ้าแมวขาวตัวโตตัวนั้น
ชิวเยี่ยไป๋ยิ่งคิดยิ่งสนุก ทว่า อีกสักครู่พอพวกแมวกลับมาแล้วคงโมโหโกรธาข่วนนางกระมัง
และแล้วก็จริงดังคาด ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งจะวางกล้องลงไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากชั้นล่าง ตามด้วยเสียงปิดประตูหอน้ำชาและเสียงฝีเท้า ตึงตัง พุ่งขึ้นชั้นบนของหอ
ประตูโดนถีบดัง โครม เงาร่างสายหนึ่งพุ่งเข้ามาก่อน “ชิวเยี่ยไป๋ มารดาเจ้าเถิด เจ้าสารเลว!”
——
[1] หม่าหวังเหย เป็นเทพเจ้าศาสนาเต๋า มีสามตาทรงฤทธิ์เดช