เป๋าเป่างงงัน “ให้พวกเขาตัดสินใจ เจ้าสองคนนั่น…”
จะใช้ได้หรือ
ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้า “ใช่ พวกเขามั่วอยู่ในตลาดร้านถิ่นตลอดมา เรื่องพวกนี้ทำได้แน่ พวกเราคอยรับลูกก็พอ”
เป๋าเป่าผงกศีรษะ กำลังจะหันกายลงจากหอจู่ๆ ก็เห็นหยวนเจ๋อเดินเข้ามา
หยวนเจ๋อเห็นเป๋าเป่าอยู่ด้วยจึงทักทายด้วยการสรรเสริญพระพุทธคำหนึ่ง
เป๋าเป่าแลดูเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่พูดไม่จาหันกายลงจากหอไป
ชิวเยี่ยไป๋รู้ว่าเป๋าเป่าไม่ชอบหยวนเจ๋อที่หน้าเหมือนไป๋หลี่ชู และไม่อยากพูดคุยกับหยวนเจ๋อ
นางจึงยิ้มให้หยวนเจ๋อกล่าวว่า “อาเจ๋อ ไยจึงว่างมาเวลานี้”
หยวนเจ๋อเดินเขาหาชิวเยี่ยไป๋ ยื่นซองจดหมายให้ “เมื่อกี้มีคนเสียบไว้ที่ซอกประตูบ้าน”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน รับซองแล้วเปิดดู จากนั้นก็แหงนมองท้องฟ้าหม่นมัวด้วยท่าทางคาดเดามิได้
ดูท่า ฝ่ายที่สามของน้ำขุ่นคดีไหวหนานนี่ ในที่สุดก็อดใจมิได้ลงมือแล้ว…
“ประสกเสี่ยวไป๋?” หยวนเจ๋อเห็นท่าทางของชิวเยี่ยไป๋ ก็รู้สึกสงสัย
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มให้กล่าวเรียบๆ ว่า “ไม่มีอะไร ไปจัดแจงหน่อย เราจะออกจากเมือง”
หยวนเจ๋อคิดดูแล้วมองท้องฟ้า สีหน้ากังวลอย่างประหลาด
…
กลางฤดูร้อน หลังฝนเทลงมาแล้วยังคงกลับมิได้เย็นลงมากนัก ตะวันยังไม่โผล่หน้าแต่อบอ้าวเป็นที่สุด อากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวประหลาดของฝุ่นผสมน้ำฝน ทำเอาผู้คนรู้สึกไม่สบาย
คนที่เข้าแถวรอการตรวจเพื่อออกจากประตูเมือง ยืนเรียงรายใต้ร่มไม้พักเดียวก็ร้อนจนตัวเหนียว
“แม่งเอ๊ย อากาศบ้าบอจริง!” ทหารเฝ้าประตูเมืองยกกระติกน้ำในมือกรอกใส่ปากอึกใหญ่อย่างอดมิได้แล้วสบถเบาๆ
“นั่นนะสิ อากาศเช่นนี้ฝนบ้าดันตกตอนเช้า ตอนเที่ยงก็เอาอีกรอบ ไม่รู้ว่าพญามังกรอารมณ์ไม่ดีหรืออย่างไร ไม่มีอะไรทำก็ฉี่สองรอบ อากาศบ้าบอเช่นนี้จะให้ตรวจสอบมหาโจรที่ข้ามมาจากตงอั้น ซวยจริงๆ!” ทหารอีกคนพิเคราะห์คนที่รอรับการตรวจพลางบ่นเบาๆ
“เอาเถอะ โชคชะตาก็เป็นเช่นนี้!” ทหารคนที่ดื่มน้ำปรามเขาให้หยุดพูดด้วยสายตา แล้วร้องเรียกบุรุษคนหนึ่งที่เข็นรถล้อเดียว “เฮ้ย มานี่ซิ ในรถมีอะไร!”
ทหารอีกนายหนึ่งเหลือบเห็นเงาคนวูบวาบที่หน้าต่างของห้องเชิงเทินเหมือนกำลังมองลงมา จึงไม่กล้าขี้เกียจ ทำทีใช้ทวนยาวพู่แดงในมือทิ่มใส่รถเข็นขนฟางของผู้เฒ่าคนหนึ่ง
“คุณชายใหญ่ขอรับ อากาศร้อนขนาดนี้ท่านยังเดินตรวจตรา เดี๋ยวร้อนจนไม่สบายบ่าวจะแก้ตัวกับพระพันปีมิได้นะขอรับ” บุรุษในชุดปักกิเลนกระเรียนเหินและปลาบินท่าทางเหมือนองครักษ์คนหนึ่งในมือถือพัด ท่าทางเหมือนข้าทาสที่คอยประจบประแจงกำลังพัดวีให้บุรุษที่ยืนริมหน้าต่าง
เสื้อยาวผ้าฝ้ายสีบัวอ่อนคลุมอยู่บนร่างบุรุษผู้นั้น ยิ่งขับให้เห็นถึงกลิ่นอายสงบเยือกเย็นราวสายน้ำ
“ไม่เป็นไร” เหมยซูกล่าวเสียงเรียบ คิ้วบางมิได้ส่อแววรุ่มร้อนเลย ราวกับอากาศร้อนจัดนี้พอถึงตัวเขาก็กลายเป็นหมอกฝนเย็นสบายเขียวขจีของเจียงหนาน
“ถ้าจับตัวไม่ได้ต่างหากล่ะ ถึงอาจต้องวิตกว่าจะกราบทูลพระพันปีได้อย่างไร”
มั่วเสียนฟังแล้วพลันรู้สึกโดนศอกกลับ จึงยิ้มแห้งๆ “คุณชายใหญ่พูดถูก แต่การค้นเช่นนี้ของพวกเรา ท่านคอยดูเถอะ แมลงวันสักตัวก็บินออกไปไม่ได้ ต้องจัดการพวกมันจนเกลี้ยงได้แน่”
ว่าแล้ว เขายื่นมือทำท่าปวดคอ
เหมยซูผินหน้าขาวนวล นัยน์ตาอ่อนโยนคู่หนึ่งคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มมองดูเขา “อ้อ อย่างนั้นข้าก็รอฟังข่าวดีจากเชียนจ่งมั่วนะ แม้พวกเจ้าจะไม่รู้ว่าคนที่นอนในห้องแท้ๆ หายตัวไปตั้งแต่เมื่อใดและจำน้องสาวข้ามิได้ แต่ข้าก็เชื่อว่าคนจากซือหลี่เจียนย่อมเก่งกาจสามารถ นึกถึงครานั้นหลังมหาจักรพรรดิเจินอู่สถาปนาแคว้นแล้ว ซือหลี่เจียนบารมีสะท้านใต้ฟ้าทีเดียว”
เหมยซูยิ่งพูด สีหน้าของมั่วเสียนก็ยิ่งแข็งตัว รอยยิ้มประจบประแจงแทบจะไม่เหลือหลอ
แม้ดวงตาสุกใสของเหมยซูจะไม่ส่ออารมณ์ใดๆ แต่เขากลับรู้สึกว่ายากจะเงยหน้าขึ้นภายใต้ดวงตาคู่นี้
ต่อให้มั่วเสียนไม่ได้ความกว่านี้ ก็ยังดูออกว่าคำพูดเหมยซูซ่อนความนัย เห็นได้ชัดว่ากำลังถากถางเขา
ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าหลังรัชสมัยมหาจักรพรรดิเจินอู่แล้ว ซือหลี่เจียนก็ถูกลดอำนาจลงมากมาย และค่อยๆ ถูกกันออกจากศูนย์กลางอำนาจของแคว้น ตกกระป๋องกลายเป็นคนงานเบ็ดเตล็ดของราชวงศ์ หากมิใช่ยังมีเจ้าอวี้คุกใหญ่ที่ใครๆ ก็ชังแต่ขาดเสียมิได้แล้ว เกรงว่าคงกลายเป็นหน่วยงานส่วนหนึ่งของกองหลี่ปู้ไปแล้ว
เพราะตามการจัดไขว้ความสามารถกับตำแหน่งในทุกวันนี้ ซ่างซูของหลี่ปู้เคยถวายฎีกาหลายต่อหลายครั้ง จะให้พวกเขาเข้าสังกัดกองหลี่ปู้เพื่อการบริหารที่เป็นเอกภาพ
เหมยซูเห็นสารรูปมั่วเสียน มุมปากก็โค้งเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันแล้วหันศีรษะ ดวงตาที่สุกใสเสมอมาปกคลุมด้วยแววหม่นเย็นชั้นหนึ่ง “เรื่องที่ข้าให้ไปสืบไปถึงไหนแล้ว”
มั่วเสียนลังเลครู่หนึ่ง กล่าวอย่างกริ่งเกรงว่า “เรียนคุณชายใหญ่ บ่าวส่งคนไปสืบแล้ว แต่ไร้ร่องรอยใดๆ มิรู้ว่าทำไมพวกองครักษ์ใหญ่เจิ้งหยางจึง…”
เขาหยุดเล็กน้อย มองดูเงาหลังของเหมยซู กล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “ทำไมจึงพินาศทั้งหมด”
พริบตาที่พูดคำนี้ เงาหลังของเหมยซูมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ออกมาจนมั่วเสียนต้องถอยไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
เหมยซูหรี่ตา มือที่ไพล่หลังอยู่กำหมัดแน่น
นั่นนะสิ ทำไมจึงพินาศหมด
ทุกครั้งที่นึกถึงคืนนั้น เขาแน่ใจว่า ‘นกเหยี่ยวไห่ตงชิง’ ไม่มีทางหลุดรอดจากตาข่ายฟ้าและเขาต้องได้ตัวแน่ สุดท้ายกลายเป็นราตรีที่พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ จิตใจของเขาเหมือนกลุ่มเมฆที่ฝนตกไม่ขาดสาย ไม่มีวันอารมณ์ผ่องใสตลอดกาล
เขาลืมไม่ลง รอแล้วรอเล่าก็ไร้ข่าวคราว ส่งคนไปเสาะหา คนที่กลับมารายงานว่าเจิ้งหยางประสบเหตุ เขาเองก็เคยไปดูสถานที่นั้นด้วยตนเอง
เขาแทบจะนึกว่าไปผิดที่ ดึกดื่นค่อนคืนหลงเดินเข้านรกและพบกับฉากที่อเนจอนาถ
ซากศพเกลื่อนกลาด องครักษ์ชั้นยอดกับทหารทางการที่ตามล่าไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
ซากศพที่ขาดวิ่นเต็มพื้น แม้แต่สัปเหร่อที่เห็นศพจนชินตายังอาเจียนอยู่เนิ่นนานจึงฝืนใจชันสูตรได้ และบอกว่าทุกคนตายเพราะถูกดาบรุมสับ ยังไม่ต้องพูดถึงความโหดเหี้ยมของฝีมือ การจะเข่นฆ่าเฉียบขาดฝ่ายเดียวเช่นนี้ต้องเป็นศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าทหารที่ไล่ล่าหลายเท่าตัวจึงจะกระทำได้
เหมยซูไม่เชื่อว่าในถิ่นของตนจู่ๆ จะมีกองกำลังมามากมายขนาดนี้โดยที่ตนเองไม่รู้
จุดนี้เขาค่อนข้างมั่นใจ
แต่สถานการณ์เช่นนี้เขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรกันแน่
ลานประหารในคืนนั้น เป็นปริศนาเหมือนฝันร้ายอยู่แล้ว
คนที่รู้ความจริงย่อมเป็นพวกองครักษ์และทหารที่ศีรษะกับตัวแยกจากกัน แต่พวกเขาพูดไม่ได้ตลอดกาล
อีกประการหนึ่งก็คือ ‘นกเหยี่ยวไห่ตงชิง’ ที่จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างลึกลับจากตาข่ายฟ้าของเขา
…ชิวเยี่ยไป๋
หรือว่านางเป็นคนในยุทธจักร