เขาพลันนึกได้ว่าเมื่อหลายวันก่อน หนานอั้นมีรายงานประหลาดเอ่ยถึงคำพรรณนาคนที่คล้ายคลึงกับชิวเยี่ยไป๋อย่างยิ่ง และดูเหมือนข้างกายนางจะมีคนไม่น้อย ก่อเหตุหนึ่งที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก
หากมิใช่เรื่องนี้ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชิวเยี่ยไป๋หนีไปหนานอั้น
เหมยซูสีหน้าอึมครึม
มั่วเสียนเห็นเขาไม่พูดไม่จาอยู่นาน จึงกล่าวเหมือนโกรธแค้นว่า “คุณชายใหญ่ บ่าวคิดว่าเรื่องนี้เก้าในสิบต้องเป็นฝีมือชิวเยี่ยไป๋แน่ ฝีมือที่โหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้ มิน่าเล่าพระพันปีจึงบอกให้พวกเราฆ่าทิ้งเลย ห้ามมิให้เขารอดกลับเมืองหลวงได้”
เหมยซูฟังแล้วพลันจ้องมองเขาอย่างเย็นชา “จะฆ่าจะฟันก็เรื่องของข้า ครานี้ต้องจับเป็นชิวเยี่ยไป๋ ข้าไม่หวังว่าจะเห็นนางบาดเจ็บใดๆ!”
มั่วเสียนงงงัน มองดูเหมยซูอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณชายใหญ่ แต่พระพันปีบอกว่า…”
“ข้าย่อมมีเหตุผลของข้าเอง ด้านพระพันปีพวกเจ้ามิต้องกังวล ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ”
พูดจบเหมยซูก็แลดูฟากฟ้า หรี่ตาสุกใสเย็นเยียบ “ไปตรวจตราเถิด ข้าสังหรณ์ว่านกจะออกจากรังแล้ว และอยู่ใกล้เรามาก”
หลายวันนี้เขาเคาะภูเขาสะท้านพยัคฆ์ จัดการจนหนานอั้นไม่มีใครอยู่เป็นสุข ต่างระแวงว่ามีอันตรายทุกเมื่อ เขาไม่เชื่อว่านกน้อยจะยังซ่อนอยู่ในรังได้ แม้หนานอั้นจะเจริญและจอแจ แต่ถ้าจู่ๆ มีคนต่างถิ่นโผล่มามากมาย ย่อมต้องได้เค้าเงื่อนบ้าง การค้นหาตัวนางหรือคนข้างกายนางจนได้เป็นเพียงช้าหรือเร็วเท่านั้น
ยิ่งอยู่นานยิ่งอันตราย ถ้านางฉลาดพอย่อมไม่มีทางอยู่รอความตายแน่
และคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้เขาสูญเสียย่อยยับเช่นนี้ เขาจะต้องรู้ให้ได้จากตัวนาง
มั่วเสียนแลดูเงาหลังของเขา เดิมทีอยากพูดจาเอาอกเอาใจหน่อย แต่เห็นเหมยซูแม้จะดูสุภาพนุ่มนวล ในความเป็นจริงเย็นชาเหินห่างจึงได้แต่รับคำอย่างนอบน้อม “ขอรับ”
จากนั้นก็ค้อมกายถอยออกไป และปิดประตูให้อย่างระมัดระวัง
แต่พริบตาที่ประตูปิดลง ดวงตามั่วเสียนก็ฉายแววเย็นเยียบระคนหยามหยัน
เหมยซู เจ้าช่างเก่งกาจเสียจริง ถึงกับกล้าขัดคำสั่งพระพันปี ก็แค่ถือดีว่าองค์พระพันปีโปรดปรานเท่านั้น พ่อค้าคนหนึ่งเยี่ยงเจ้าหลงคิดว่าตนเองเป็นตัวอะไรหรือ ถึงกับเห็นนายกองเช่นข้าเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง กวักให้มาก็มา ไล่ให้ไปก็ไปกระนั้นหรือ
มุมปากมั่วเสียนโค้งขึ้นอย่างดูแคลน ทว่าถึงจะเป็นสุนัขก็กัดคนเป็นเจ้ารู้หรือไม่
เขาถุยใส่พื้นคำหนึ่ง หันกายลงบันไดไป
ที่ชั้นล่างเป็นนายหมวดของซือหลี่เจียนประจำไหวหนานหลายคน เห็นเขาลงมาก็พากันลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ใต้เท้าเชียนจ่ง!”
มั่วเสียนพยักหน้า หรี่ตามองสภาพภายนอก ขมวดคิ้วถามว่า “พวกเราล่ะ”
ข้างนอกคนยังเยอะอยู่ เนื่องจากต้องตรวจค้นอย่างละเอียดจึงมีคนสะสมออกันไม่น้อย และเพราะฝนตกหนักติดต่อกัน คนค้าขายส่วนใหญ่และคนที่ผ่านทางล้วนอยากรีบออกจากเมือง
อี้จ่างคนหนึ่งกล่าวอย่างลังเล “ใต้เท้าขอรับ พวกเขาไปนั่งพักกันที่เหลาน้ำชาข้างๆ อากาศร้อนมากและพวกเราก็พาองครักษ์มาไม่มาก จะให้คนหยาบพวกนี้ร่วมวงด้วยทำไมกัน”
มั่วเสียนส่ายหน้า “พวกเจ้ายังคงต้องใส่ใจหน่อย คนนั้นยังอยู่ข้างในนะ พวกเจ้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพระพันปีโปรดปรานเขามาก”
นายหมวดหลายคนมองหน้ากันแล้วผงกศีรษะรับคำ ได้แต่ไปค้นหาคนใต้แดดจ้าโดยดุษณี
มั่วเสียนนึกดูแล้ว ยังคงพาขันทีน้อยที่คอยรับใช้ข้างกายตลอดออกไปเดินดูข้างนอก ถึงอย่างไรตอนนี้คุณชายเหมยยังจับตาดูอยู่ แสร้งทำเป็นจริงจังหน่อยจะดีกว่า
คนที่เข้าแถวอยู่ข้างนอกค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ ยังคงมีหลายคนถูกเรียกตัวไว้
ชายกลางคนคนหนึ่งแบกถุงสัมภาระจูงมือผู้เยาว์ที่อยู่ข้างกาย “นายน้อย ข้าวของเตรียมไว้แล้ว เมื่อครู่เฝยหลงพาคนชุดแรกออกไปแล้ว ตรวจผ่านแล้วไม่มีปัญหา”
ผู้เยาว์ที่แต่งกายเหมือนพ่อค้าทั่วไปสวมงอบใบใหญ่เห็นหน้าไม่ถนัด พอได้ยินก็กล่าวว่า “อืม ประเดี๋ยวยังคงระวังหน่อย เมื่อครู่ข้าเห็นคนของซือหลี่เจียน น่าจะเป็นพวกประจำที่ไหวหนาน”
ชายกลางคนคือเป๋าเป่า เขาลดเสียงลงกล่าวว่า “ข้าเห็นพวกมันไปทางเหลาน้ำชา แต่เรื่องนี้พวกมันก็แค่ทำลวกๆ”
ชิวเยี่ยไป๋กระซิบ “รอบคอบจึงจะเดินเรือได้หมื่นปี”
ขณะพูดกันอยู่ ด้านหน้ามีพ่อค้าขนเครื่องเย็บปักกลุ่มหนึ่งกับคนหาบเร่กลุ่มหนึ่ง มิทราบเพราะเหตุใดถูกทหารเฝ้าประตูเมืองแยกตัวไว้ไปตรวจค้นต่างหาก ทำเอาฝูงคนที่บังกลุ่มของชิวเยี่ยไป๋หายไปทันที
นายทหารที่บัญชาการตรวจค้นใช้แส้ในมือชี้ไปทางพวกชิวเยี่ยไป๋อย่างรำคาญ “เฮ้ย ไอ้กลุ่มม้านั้น เจ้านั่นแหละ คนที่สวมงอบน่ะ พวกเจ้าเร็วเข้า มัวยืนเซ่อทำอะไรกัน ร้อนขนาดนี้ข้างหลังยังมีคนอีกเยอะแยะ เจ้าไม่เห็นหรือ!”
ชิวเยี่ยไป๋ยั้งเท้าแล้วรีบโบกมือโบกไม้ให้ข้างหลังทันที ให้พรรคพวกตนจูงม้ารีบเคลื่อนไปข้างหน้า
นายทหารโบกมือให้สัญญาณ ทหารที่เหลือก็เข้าค้นรถม้าทันที
เป๋าเป่ารีบมอบใบผ่านทางของตนให้นายทหารอย่างนอบน้อม นายทหารมองดูพลางพินิจพิเคราะห์พวกเขา
คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋พามาแต่เป๋าเป่า โจวอวี่ หยวนเจ๋อกับพวกหยิบหย่งของกองคั่นเฟิงสิบกว่าคน ทั้งหมดปลอมตัวเป็นคนค้าขาย แต่เป๋าเป่าฝีมือดีจึงตกแต่งให้คนที่ตัวผอมเล็กหน่อยปลอมเป็นเด็กหนุ่มอ่อนแอ และแม่เฒ่าหยาบกร้านที่ทำงานจิปาถะ
เห็นนายทหารมองมา บรรดาคนหยิบหย่งก็กระสับกระส่าย
ทหารสองคนที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าทางพวกเขาก็ยิ่งตื่นตัว
แต่นายทหารกวาดตามองไม่กี่ครั้งก็คืนใบผ่านทางให้เป๋าเป่า แล้วเหลือบมองชิวเยี่ยไป๋ที่ก้มหน้าก้มตาตลอด “เฮ้ย เจ้าเงยหน้าขึ้น!”
ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินก็เงยหน้ามองนายทหารทันที ท่าทางประจบประแจงรีบยัดของใส่มือ “นายท่าน ลำบากแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่เงยหน้าขึ้นก็ยังพอทำเนา เงยหน้าแล้วไม่ยิ้มก็ยังดี แต่นางทั้งเงยหน้าและยิ้ม หน้าดำปรุทั้งหน้าพลันยื่นเข้าใกล้ ยิ้มเผยฟันหน้าเหลืองอ๋อยสองซี่
ทำเอานายทหารสะดุ้งโหยงจนเกือบหลุดปากว่า ‘น่าเกลียด’ แต่จะดีจะร้ายในมือก็กำเงินที่อีกฝ่ายยัดให้ ถุงเงินนั้นน่าจะไม่น้อยกว่ายี่สิบตำลึง ร้อนจัดแถมฝนตกยังออกมาตรากตรำขนาดนี้ ‘ค่าผ่านทาง’ นี้พอจะประโลมใจได้บ้าง
เขาจึงกลืนคำอุทานลงอย่างแข็งขืน แต่รีบถอยไปเสียไกล พูดเหมือนไล่แมลงวันว่า “รีบไปๆ อย่าเสียเวลาคนข้างหลัง”
ทหารตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ อดประหลาดใจมิได้ จึงกระซิบข้างหูนายทหาร “ใต้เท้า เช่นนี้พวกเราหละหลวมไปหน่อยไหม เบื้องบนสั่งว่าพวกพ่อค้าเช่นนี้ต้องตรวจอย่างเข้มงวดนะ”
นายทหารคนนั้นรับของไว้แล้วย่อมอารมณ์ดีขึ้น จึงกล่าวอย่างได้ใจว่า “เจ้ามันไม่มีประสบการณ์ เบื้องบนบอกว่าต้องตรวจพ่อค้า แต่เจ้าลองคิดดูสิ มหาโจรย่อมหนุ่มแน่นหรือเป็นชายร่างกำยำ พวกอ่อนแอป้อแป้เช่นนี้จะเป็นมหาโจรได้อย่างไร”