ทหารหลายคนนั้นฟังแล้วเหมือนได้คิด รู้สึกนับถือนายทหารเป็นอันมาก
ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายรอยยิ้มแวบหนึ่ง แล้วรีบจัดแจงให้คนข้างหลังเร่งรถไปข้างหน้า
แต่นางหันมาครั้งนี้กลับพบว่าต้าจ้วงที่ปลอมตัวเป็นคนขนของ ท่าทางพิกล ดูเหมือนจะพยายามหดคออย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามจะย่อตัวให้เตี้ยลง ไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บที่ไหล่ซึ่งยังไม่หายดีด้วยซ้ำ
นางขมวดคิ้ว อากัปกริยาของต้าจ้วงสะดุดตาเกินไป นางจึงรีบเดินเข้าไปทำทีเหมือนจัดสินค้าแล้วกระซิบว่า “ท่าทางของเจ้าเหมือนกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าพวกเรามีพิรุธอย่างนั้นแหละ”
ต้าจ้วงก็กระซิบตอบสีหน้าซีดเผือด “ใต้เท้า ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเป็นอี้จ่างแซ่อู๋ของซือหลี่เจียนประจำไหวหนาน หลายปีก่อนเขาไปราชการที่เมืองหลวง ข้ากับเขาเคยไปเที่ยวด้วยกันพักหนึ่ง”
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋สะดุ้ง นั่นนะสิ การปลอมแปลงโฉมให้ละเอียดต้องใช้เวลาและวัสดุมากมาย ซึ่งวัสดุที่เป๋าเป่ามีอยู่ย่อมไม่พอกับการปลอมแปลงโฉมคนนับร้อย และคิดว่าที่นี่เป็นไหวหนานมิใช่ราชธานี พวกทหารไม่มีทางจำคนของกองคั่นเฟิงได้ ดังนั้นพวกหยิบหย่งส่วนมากจึงปลอมตัวอย่างง่ายที่สุด กระทั่งใบหน้าก็ไม่มีการเติมแต่ง
เนื่องจากต้าจ้วงใบหน้าธรรมดาชนิดโยนลงไปในฝูงคนก็ไม่มีใครจำได้ จึงมิได้แปลงโฉมหน้า เพียงปลอมตัวง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าถึงกับเจอะคนคุ้นเคย
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋เกิดลางสังหรณ์อัปมงคล และแล้วก็เป็นจริง ขณะที่ทุกคนกำลังจะพ้นจากด่าน เสียงห้าวของบุรุษก็ดังขึ้น
“รอเดี๋ยว”
องครักษ์ตำแหน่งสูงในชุดปลาบินสีน้ำเงินคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางพวกเขาไว้
บรรดาคนในกองคั่นเฟิงที่วางใจแล้วพลันหัวใจขึ้นมาจุกที่คอหอย แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า
เป๋าเป่ารีบหันกายออกรับ ยิ้มให้อู๋อี้จ่าง “ใต้เท้า ยังมีอะไรจะสั่งหรือขอรับ”
อู๋อี้จ่างกลับผลักเงินของเขาออก เหลือบมองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ติดสินบนข้าราชการ เจ้าคิดจะทำอะไร”
เป๋าเป่างงงันแล้วรีบทำท่าเหมือนแสนคับข้องกล่าวอย่างขลาดกลัวว่า “นี่เป็นธรรมเนียมมิใช่หรือ เห็นพวกใต้เท้าลำบากขนาดนี้ ก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
อู๋อี้จ่างแค่นหัวร่ออย่างไม่สนใจ เดินตรงไปที่ต้าจ้วง พิเคราะห์ต้าจ้วงที่ก้มหน้าก้มตาขึ้นๆ ลงๆ ยิ่งเพิ่มความสงสัยในใจ “เจ้า…เงยหน้าขึ้น เราเคยรู้จักกันไหม”
ต้าจ้วงไม่ยอมโงหัวแต่สั่นศีรษะเป็นการใหญ่ ไม่พูดไม่จา
ชิวเยี่ยไป๋เห็นแล้วลอบถอนใจ ถ้าอู๋อี้จ่างถามนาง นางมั่นใจว่าพอกล้อมแกล้มได้แน่ แต่นี่ดันถามเอาต้าจ้วง
นางเหลือบมองเป๋าเป่าแล้วเหลือบดูหอเชิงเทินแวบหนึ่ง จากนั้นคลำที่เอวเหมือนไม่ตั้งใจ ที่นั่นมีกระบี่อ่อนคาดไว้
เป๋าเป่าพยักหน้าอย่างหนักใจ และเตรียมให้สัญญาณบุกฝ่าด่าน
พวกเขาจะถูกจับตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด เหมยซูอยู่ที่นี่ ขืนถูกจับก็ยากจะพาคนทั้งหมดฝ่าด่านได้
แต่ยามนี้เอง เสียงแหบพร่าดังขึ้น “เหล่าอู๋ เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวคุณชายเหมยจะไปตรวจประตูเมืองทิศเหนือแล้ว พวกเราต้องไปจัดแจงทางโน้นก่อน”
ชิวเยี่ยไป๋มองตามเสียง สายตาตกลงบนใบหน้าผอมซูบของคนคนนั้น มิใช่ข้าราชการซือหลี่เจียนประจำไหวหนานที่เคยรับนางขึ้นจากเรือมั่วเสียน มั่วเชียนจ่ง จะเป็นใครไปได้!
นางแววตาเย็นลง คนคุ้นเคยจริงๆ
อู๋อี้จ่างหันไปเห็นคนที่มาเป็นผู้บังคับบัญชาของตน จึงรีบกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยพบคนคุ้นหน้า จึงคิดว่าอาจเป็นคนรู้จักที่เมืองหลวง”
มั่วเสียนเหลือบมองต้าจ้วงแล้วสายตาก็ตกลงที่ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่ด้านข้าง ครู่หนึ่งดวงตาเขาฉายแววตะลึงวูบหนึ่งแล้วคืนสู่ปกติ แค่นหัวร่อกล่าวว่า “เจ้ารู้จักคนเยอะจริง หนานอั้นนี่คนไปๆ มาๆ คนคล้ายกันเยอะแยะ หรือว่าเจ้าคิดจะฝืนลากคนไปร่ำสุรา พอแล้ว ไม่ต้องพูดมาก รีบไป!”
อู๋อี้จ่างงงงันอยู่บ้าง ใต้เท้าเชียนจ่งบอกว่าเขาจำผิดคนหรือ
“แต่…” หัวหน้าอู๋มองต้าจ้วง รู้สึกคุ้นตามาก แม้ยามนี้จะสวมใส่ปุปะไปหน่อย แต่รูปร่างผอมชะลูดเหมือนไม้ไผ่เขาจำได้อยู่
“แต่เต่ออะไรกัน คุณชายเหมยเจ้ากับข้าผิดใจกับเขาไม่ไหวนะ ยังไม่รีบไปอีก!” ดูเหมือนมั่วเสียนรำคาญเต็มแก่ที่เขาอ้างโน่นนี่
อู๋อี้จ่างเห็นเจ้านายดูเหมือนจะโมโห เขาจะกล้าขัดใจมั่วเสียนได้อย่างไร จึงรีบฝืนใจผงกศีรษะทันที “ขอรับ!”
เหลือบมองต้าจ้วงอีกครั้ง แล้วเขาก็พาขันทีตัวน้อยตามหลังมั่วเสียนจากไป
ตอนมั่วเสียนเดินผ่านชิวเยี่ยไป๋ก็มองดูนาง พลันฉีกยิ้มที่มุมปากอย่างพิกล “อากาศเช่นนี้ รีบเลิกงานกลับไปพักผ่อนจะดีกว่า”
พูดจบก็พาอู๋อี้จ่างจากไปโดยไม่เหลียวมองอีกเลย
ชิวเยี่ยไป๋มองตามเงาหลังของเขา พริบตานั้นหรี่ตาอย่างน่าหวาดเสียว
…
ในที่สุดก็ออกจากประตูเมืองอย่างราบรื่น เป๋าเป่าเหลือบดูเครื่องหมายสัญญาณที่ทิ้งไว้บนต้นไม้บริเวณนั้นแล้วรีบกล่าวว่า “เฝยหลงกับพวกน่าจะไปก่อนพวกเราราวสิบลี้!”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “พวกเรายังคงแยกกันเดิน ออกจากไหวหนานแล้วค่อยสมทบกันจะปลอดภัยกว่า”
พอออกจากแถบไหวหนานก็ปลอดภัยแล้ว ไม่แน่จะว่าพ้นจากการปิดล้อมของพวกทหารทางการ พอถึงนอกเมือง พวกทหารก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว
เป๋าเป่านึกถึงสภาพพิกลเมื่อครู่ ยังคงเดินพลางกล่าวอย่างสงสัยว่า “เมื่อครู่ทำไมมั่วเสียนจึงช่วยพวกเรา”
ชิวเยี่ยไป๋เคยบอกเองนี่นาว่าข้าราชการที่นี่ล้วนฟังคำสั่งของเหมยซู อย่าว่าแต่ข้าราชการซือหลี่เจียนประจำที่นี่ เดิมทีก็เป็นรังใหญ่ของพระพันปีอยู่แล้ว!
ดวงตาที่หรี่ลงของชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยือก กล่าวอย่างมินำพาว่า “ประมาณว่าเพราะพวกเขาคงอยากได้อะไรจากตัวข้ากระมัง”
เป๋าเป่างงงัน “หมายความว่าอย่างไร”
โจวอวี่ที่ปลอมตัวเป็นสารถีจูงม้ามาพลางเรียกให้ทุกคนขี่ม้าหรือไม่ก็ขึ้นรถพลางกล่าวว่า “หมายความว่ามั่วเสียนอาจมิใช่คนของเหมยซู คนที่ช่วยพวกเราย่อมคิดจะให้เหมยซูเคราะห์ร้ายเป็นธรรมดา อย่าลืมว่าคดีไหวหนานเป็นคดีซ้อนคดี คนที่ทำเรื่องพวกนี้อยู่เบื้องหลังไม่ใช่พวกเรา”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูโจวอวี่พยักหน้าอย่างชื่นชม “พักนี้จื่อเฟยยิ่งเฉียบแหลมกว่าเดิมแล้ว”
นางก็แค่บอกพวกเขาว่ามีคนส่งจดหมายประหลาดมา ในนั้นระบุภาพประตูเมืองทิศตะวันตก และกำชับให้พวกเราออกไปทางนั้น ที่นั่นจึงจะเป็นประตูเป็น
แม้จดหมายจะไม่มีข้อความใดๆ แต่ชิวเยี่ยไป๋คิดว่ามิใช่ฝีมือของเหมยซูอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเหมยซูรู้ว่านางอยู่ที่นี่คงรีบพาคนล้อมที่พักของพวกนางไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เป็นฝีมือของไป๋หลี่ชู เขาบอกแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้
ถ้าเช่นนั้นทางเดียวที่เป็นไปได้…ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร
เป๋าเป่าเลือกม้าแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว แค่นหัวร่อคราหนึ่ง “จะเป็นใครก็ช่าง อย่าหวังว่าจะหลอกใช้พวกเราได้”