แต่เจ้าของก้นเปลือยที่ถูกนางเหยียบเมื่อครู่ก็นับว่าเคราะห์ร้าย เท่ากับบาดเจ็บซ้ำสอง
แน่นอนว่าการที่เกือบจะต้องนั่งจ้ำเบ้าบนกองก้นนุ่มนิ่มเกลื่อนพื้นย่อมมิใช่ความรู้สึกที่ดีนัก ชิวเยี่ยไป๋กล้ำกลืนความพะอืดพะอม นางซวนเซอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าตนมีวิชาตัวเบา จึงรีบกระโดดขึ้นมา…ก่อนจะลงมายืนอยู่ท่ามกลางทะเลก้นอย่างมั่นคง
นางหน้าเขียวคล้ำ จากนั้นก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังทำลายความเงียบขึ้นมา
“ฝีมือร้ายกาจ!”
“เยี่ยม!”
“ตกรางวัล!”
คนในกองคั่นเฟิงที่เป็นพวกคุณชายกางเกงแพร[1] ส่งเสียงเฮขึ้นมาราวกับชมละคร พอพวกเขาตื่นเต้น ทะเลก้นก็ขยับขึ้นมาราวกับระลอกคลื่น ทำเอาชิวเยี่ยไป๋ตาลาย นางหลับตา คนพวกนี้ไม่สำเหนียกอะไรถึงที่สุดจริงๆ นางกัดฟันเค้นเสียงออกมาอย่างเหลืออด
“หุบปาก!”
เนื่องจากจิตใจยังปั่นป่วนอยู่ เสียงจึงไม่หนักแน่นนัก แต่เสี่ยวเหยียนจื่อสังเกตเห็นสีหน้าของนาง จึงเริ่มร้อนใจ รีบใช้เสียงแหลมเล็กของเขาตวาดลั่น “หุบปาก ใต้เท้ามีเรื่องจะพูด!”
จนใจที่แม้เสียงร้องชื่นชมชิวเยี่ยไป๋จะซาลงบ้างเพราะเจ็บแผล แต่พอเห็นคนที่นับว่าเป็นหัวหน้าของตนกลับมา ความรู้สึกที่ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมก็พลุ่งขึ้นมาทันที
แม้พวกเขาจะยังคอยสังเกตท่าทีของใต้เท้าเชียนจ่งผู้นี้อยู่ ทั้งไม่ค่อยจะชอบหน้าเชียนจ่งผู้ที่มาถึงก็กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ มากมายให้พวกเขา ถึงขั้นแอบภาวนาให้เจี่ยงอี้จ่างรีบจับนายคนใหม่นี้ไปตอนเสีย จะได้รีบไสหัวไปให้พ้นๆ
แต่นั่นก็เป็นความคิดยามที่ไม่มีเรื่อง เวลานี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ถูกคนข้างนอกจัดการจนน่าอเนจอนาถ พอเห็นชิวเยี่ยไป๋ความรู้สึกย่อมเปลี่ยนไป รู้สึกว่าคนผู้นี้คือแสงสว่างของพวกตน เป็นเสาหลักของพวกตน เหมือนยามที่เด็กทะเลาะกัน ถูกเด็กคนอื่นและผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายรุมรังแกจนปัสสาวะรดกางเกง รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนถึงขีดสุด พอหันไปเห็นผู้ใหญ่ของตนมา อารมณ์ก็ท่วมท้นทันใด
เมื่อคับแค้นถึงที่สุด ย่อมต้องร้องโวยวายโอดครวญ
“ใต้เท้า…ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่พวกเรานะขอรับ!”
“ใต้เท้า ท่านจะปล่อยให้คนนอกมารังแกเราเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
“ฮือๆๆ…ใต้เท้า…พวกเราถูกปรักปรำ!”
เสียงร้องระงม เสียงคร่ำครวญก่นด่าพลันดังก้องทะลุฟ้า เสียงตวาดของเสี่ยวเหยียนจื่อผู้น่าสงสารถูกกลืนหายไป
สีหน้าชิวเยี่ยไป๋ยิ่งเขียวคล้ำกว่าเดิม กระทั่งมีคนร้องตะโกนขึ้นมา…
“ฮือๆๆ…ใต้เท้า…นี่มิใช่ก้นพวกเราที่ถูกโบย แต่เป็นหน้าท่านที่ถูกตบชัดๆ!”
ในที่สุดนางก็อดรนทนไม่ไหว ส่งเสียงตวาดเหมือนสิงโตเหอตงคำราม[2] “ทุกคนหุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงตวาดที่เปล่งออกไปด้วยกำลังภายในห้าส่วน พาคลื่นเสียงทรงพลังสยบกลุ่มหมูหมาที่ร่ำร้องเห่าหอน สะเทือนเลือนลั่นจนพื้นดินไหวยวบสามตลบ นกกาบนต้นไม้ด้านนอกตกใจจนบินแตกรัง
ทั่วบริเวณเงียบสงัด ชิวเยี่ยไป๋สูดหายใจลึก ชีวิตนี้ของนางไม่เคยต้องสิ้นสภาพนายน้อยผู้สูงส่งเช่นยามนี้เลย!
นางเงยหน้าขึ้นกวาดตาไปรอบบริเวณ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายท่ามกลางก้นขาวผ่องดารดาษบนพื้น ก็ฝืนหลุดคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “ทายารักษาตัวให้ดี ข้าเข้าใจเรื่องราวแล้ว จะมีคำอธิบายให้พวกเจ้าแน่นอน!”
พูดจบนางก็ทะยานกายออกไปจากที่ชุมนุมนั้น
บอกว่า ‘ให้คำอธิบาย’ มิใช่ ‘ให้ความเป็นธรรม’ เพราะจนถึงบัดนี้นางก็ยังไม่รู้เลยว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ สามารถเอาตัวคนมากมายขนาดนี้มารับโทษโบย ย่อมมิใช่เรื่องพิพาททั่วไป
แต่คำพูดนี้เมื่อเข้าหูพวกไม่เอาการเอางานเหล่านั้นย่อมแตกต่าง ทุกคนรู้สึกราวกับได้พบที่พึ่งพา ในใจตื้นตัน สุดท้ายเสียงโอดครวญจึงลดน้อยลง
ชิวเยี่ยไป๋เข้าไปยังห้องเจรจาธุระของกองคั่นเฟิง แล้วสั่งให้เสี่ยวเหยียนจื่อที่ตามเข้ามารีบปลดม่านลง นางไม่อยากเห็นก้นขาวๆ ช้ำเลือดช้ำหนองน่าสยดสยองข้างนอกนั่นอีก
“ไปเรียกเจี่ยงอี้จ่างและโจวอี้จ่างมา!” ชิวเยี่ยไป๋ครุ่นคิดแล้วสั่งเสี่ยวเหยียนจื่อ
เสี่ยวเหยียนจื่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็รีบออกไป
ครู่ต่อมา นางเห็นเสี่ยวเหยียนจื่อแหวกม่านออก เจี่ยงเฟยโจวพยุงโจวอวี่เข้ามา เห็นโจวอวี่เดินกะโผลกกะเผลก ใบหน้าซีดเผือด ชิวเยี่ยไป๋พลันเข้าใจ โจวอวี่ก็ถูกโบยด้วย!
นางอดตกใจมิได้ โจวอวี่มีความเกี่ยวดองเป็นญาติกับพระพันปี เหตุใดกลับถูกลงทัณฑ์ด้วย
นางหันไปมองเจี่ยงเฟยโจวทันที เห็นเขาสั่นศีรษะให้นาง นางจึงค่อยวางใจ ดูเหมือนเป๋าเป่าจะไม่เป็นไร
“เอาเบาะรองนั่งให้โจวอี้จ่าง ระวังบาดแผลด้วย” ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจแล้วสั่งเสียงเรียบ
ดังคำว่าส่งถ่านกลางหิมะ แม้โจวอวี่จะระแวงชิวเยี่ยไป๋ แต่ความใส่ใจของอีกฝ่ายก็ทำให้ตนที่กำลังย่ำแย่ถึงขีดสุดรู้สึกดี แม้จะไม่ถึงขั้นซาบซึ้งจนหลั่งน้ำตา แต่ยังคงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ขอบคุณใต้เท้าที่ใส่ใจ”
ชิวเยี่ยไป๋คลำป้านชาที่เย็นแล้ว แต่ยังคงรินให้ตนเองถ้วยหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเคร่งว่า “ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เป๋าเป่าที่ปลอมเป็นเจี่ยงเฟยโจวลังเลครู่หนึ่งแต่ไม่พูด หันไปมองโจวอวี่ อีกฝ่ายกลับก้มหน้านิ่ง
เสี่ยวเหยียนจื่อเห็นไม่มีใครตอบ คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าไปประคองโจวอวี่ให้นั่งลงอย่างทุลักทุเล พลางกล่าวว่า “หลายวันนี้เป็นเทศกาลฤดูคิมหันต์ ใต้เท้าโจวกับคนในกองจึงนัดกันไปกินดื่มเคล้านารี เกิดมีปากเสียงกับคนบนเรือสำราญที่ริมน้ำจนลงไม้ลงมือกัน ภายหลังพบว่าเป็นคนของซือหลี่เจี้ยนเหมือนกัน พอกลับมาตรวจสอบจึงรู้ว่าเป็นกองปู่เฟิง ต่อมาคนของกองปู่เฟิงก็มาจับคนของเราไปคุมขังไว้”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน “คนของกองปู่เฟิงหรือ ในเมื่อเป็นข้อพิพาทของพวกเดียวกันเอง พวกเจ้าไปขอลุแก่โทษก็น่าจะจบมิใช่หรือ”
เสี่ยวเหยียนจื่อมองโจวอวี่โดยมิได้พูดอะไร ชิวเยี่ยไป๋มองตามก็พบว่าโจวอวี่ก้มหน้าต่ำกว่าเดิม นางมุ่นคิ้วตวาดเสียงเย็น “พูดความจริง!”
เสี่ยวเหยียนจื่อจึงเอ่ยต่อ “เพราะโจวอี้จ่างดื่มหนัก จึงไม่ทันคิด คว้าไหสุราฟาดใส่ศีรษะของฉินอี้จ่างกองปู่เฟิงจนสลบไป จนป่านนี้ฉินอี้จ่างก็ยังไม่ฟื้นเลย และ…”
เขาลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “และคนของกองปู่เฟิงบอกว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ พวกเราไปก่อกวนขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พอท่านขันทีใหญ่รู้เข้าก็โกรธมาก พี่น้องของพวกเราทุกคนจึงถูกลงทัณฑ์”
“แล้วเหตุใดซือถูอี้จ่างจึงถูกคุมตัวในห้องลงทัณฑ์” ชิวเยี่ยไป๋ฟังจนขมับเต้นตุบๆ ไอ้คนพวกนี้ช่างขยันหาเรื่องจริงๆ
เสี่ยวเหยียนจื่อน้ำตาทะลักทันที “ซือถูอี้จ่างช่วยพูดแทนทุกคน ขอให้ละเว้นโทษ จึงถูกจับนาบด้วยเหล็กเผาไฟ ทุกคนจึงได้รับการปล่อยตัว แต่เขากลับต้องอยู่ในห้องลงทัณฑ์แทน…ฮือๆๆ!”
ห้องลงทัณฑ์ในคุกของซือหลี่เจี้ยน!
นับแต่เริ่มก่อตั้ง ห้องลงทัณฑ์คุกซือหลี่เจี้ยนเป็นสถานที่ชวนขนพองสยองเกล้า ความพิสดารพันลึกและความโหดเ**้ยมทารุณไม่มีใดปานของวิธีการลงทัณฑ์ล้วนคิดค้นจากที่นี่ ใครก็ตามที่ถูกส่งเข้าห้องลงทัณฑ์ ก็เท่ากับใช้ชีวิตของตนเป็นเหยื่อทดลองการลงทัณฑ์
——
[1] เป็นคำที่ใช้เรียกพวกคุณชายตระกูลร่ำรวยที่มีนิสัยเจ้าสำราญ หยิบหย่ง
[2] เป็นคำเปรียบเปรยสมัยโบราณ ใช้เรียกหญิงที่ส่งเสียงดังโวยวายยามไม่พอใจ อุปมาเหมือนหญิงที่ดุเป็นแม่เสือ