ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของเขา จิตใจและอารมณ์สับสน นางหัวร่อเบาๆ “ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ”
“ทำไมเจ้าจึงบอกข้าเรื่องนี้” นางพลันถอนใจคราหนึ่ง
หยวนเจ๋อ “พุทธะมีชีวิตกลับชาติมาเกิดของเจินเหยียนกงหรือราชครูสำคัญมากนักหรือ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อาตมาก็แค่หลวงจีนรูปหนึ่ง เป็นบรรพชิตคนหนึ่งเท่านั้น”
เขาหยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ทุกอย่างล้วนมายา เป็นเพียงเงาพรายเหมือนความฝัน เหมือนน้ำค้างเหมือนสายฟ้า ไยจึงมิมองเช่นนี้”
น้ำเสียงของเขาสงบและปล่อยวางอย่างยิ่ง ไร้แววละอายแม้แต่น้อยและไม่มีความไม่สบายใจใดๆ ราวกับทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้เป็นเรื่องที่เขามิเคยใส่ใจเลย
เบาบางดุจขนนกถึงเพียงนี้ ไม่มีคุณค่าแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมาสักคำ
แต่คนฟังกลับฟังออกว่า เขามิได้นำพาต่อฐานะอันน่าตระหนกแต่อย่างใดจริงๆ
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเงาหลังของเขาครู่หนึ่ง กลับส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ไม่ อาเจ๋อ เจ้าไม่เคยใส่ใจนำพาชื่อเสียงจอมปลอมทางโลกก็จริงอยู่ ในใจของเจ้ามีเพียงแท่นดอกบัวของแดนพุทธะ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็กำเนิดบนโลกนี้ เจ้าย่อมมิมีวันหลุดพ้นจากชื่อเสียงผลประโยชน์และศักดิ์ฐานะตลอดกาล”
หยวนเจ๋อกล่าวอ้อยสร้อยว่า “หลังจากนั้นเล่า เพราะอาตมามิอาจหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น แล้วประสกเสี่ยวไป๋คิดจะทำอย่างไร ฆ่าอาตมาหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวเนือยๆ ว่า “พระพันปีมีเสาวนีย์ให้เข่นฆ่าข้าให้ได้ ถ้าแหล่งข่าวของข้าไม่ผิดพลาด หยวนเติงซือไท่กับพระพันปีเคยคบหาอย่างสนิทสนมมิใช่หรือ”
หยวนเจ๋อถามอย่างราบเรียบ “แล้วอย่างไรเล่า”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ “จะให้ข้าพูดให้ชัดกว่านี้หรือ เจินเหยียนกงเป็นอิทธิพลอีกขุมหนึ่งของพระพันปี เริ่มตั้งแต่ตระกูลตู้เข้าครอบงำวังหลัง ราชครูทุกสมัยล้วนมาจาก ‘พุทธะมีชีวิตกลับชาติ’ ของเจินเหยียนกง การลอบจู่โจมในวันนี้ หากข้าเดาไม่ผิดนั่นเป็นคนของเจินเหยียนกงขณะตามหาเจ้า เมื่อพบว่าเจ้าอยู่ร่วมกับข้า จึงตัดสินใจจะทำทั้งทีก็ขุดรากถอนโคนข้าก่อนเลย ถูกต้องหรือไม่”
“เช่นนั้นหรือ อาจเพราะอาตมาจงใจวางกับดักไว้แต่แรกก็เป็นได้มิใช่หรือ” หยวนเจ๋อพลันกล่าว
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มและสะอึก “อาเจ๋อ เจ้าคิดว่าในฐานะราชครูซึ่งเป็นที่สักการะของคนทั้งชาตินับหมื่น เพื่อสมุดบัญชีเล่มเดียวถึงกับลงทุนแฝงเร้นข้างตัวของขุนนางระดับสี่ตัวน้อยเหมือนเมล็ดงาน่าเชื่อนักหรือ
ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดโค
อย่าว่าแต่ถ้าเขาจะฆ่านางแล้วแย่งสมุดบัญชีไปก็มีโอกาสนับไม่ถ้วน แต่เขากลับรับศรพิษนั้นของเจินเหยียนกงแทนนาง
“แต่ข้าเชื่อว่าเวลานั้นเจ้าคงสังเกตพบว่าในพวกพลธนูมีคนของเจินเหยียนกงแล้วกระมัง” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ
หยวนเจ๋อชะงักแล้วพูดต่อ “ไม่ผิด คนของเจินเหยียนกงมีกลิ่นชนิดหนึ่งเสมอ พวกเดียวกันจึงจะได้กลิ่น แต่ตอนนั้นคนมากเกินไป อาตมาเพียงสามารถอาศัยทิศทางลมตัดสินกลิ่นชนิดนั้น ไม่มีปัญญาตัดสินทันทีว่าบนตัวคนไหนมีกลิ่นชนิดนี้”
“กลิ่นหรือ” ชิวเยี่ยไป๋งงงัน
กลิ่นอะไรจึงเป็นกลิ่นที่มีแต่คนของเจินเหยียนกงจึงจะได้กลิ่น
“ใช่ กลิ่น กลิ่นชนิดหนึ่งที่มิใช่คน” หยวนเจ๋อกล่าว พลันยกมือขึ้นกลางอากาศ กล่าวเรียบๆ ว่า “มา”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่ามือของเขา มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังเรียกตน นางจึงก้าวเข้ามา แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ยังคงยื่นมือแตะกับมือของเขา
นางมองดูเขา อยากเห็นสีหน้าตอนนี้ แต่กลับเห็นลมโชยผมที่ปรกหน้าผากจนกระจาย ทำให้เห็นดวงตาของเขาไม่ถนัด
และแล้วนาทีต่อมา เขาพลันดึงมือ กระชากนางเข้าในอ้อมอกของตนเอง
ชิวเยี่ยไป๋ไม่ทันระวัง จึงตกอยู่ในอ้อมอกกว้างและแข็งแรงนั้น มิรู้ว่าเพราะตากลมแม่น้ำนานเกินไปหรืออย่างไร จึงรู้สึกว่าบนตัวของหยวนเจ๋อเย็นจัด
แม้กระนั้น ปลายจมูกของนางเฉียดผ่านผิวกายที่อกของเขา สัมผัสที่ชิดใกล้เช่นนี้ยังคงทำเอานางหน้าแดงและผลักเขาตามสัญชาตญาณ
เมื่อมิใช่การรักษาอาการบาดเจ็บ ยามใกล้ชิดขนาดนี้ออกจะเกินเลยไปสักหน่อย
แต่หยวนเจ๋อกลับใช้มืออีกข้างกดกระหม่อมของนางไว้ ทาบทับศีรษะของนางมิให้นางหลุดจากอ้อมกอด เสียงราบเรียบมิมีสูงต่ำแม้แต่น้อย “ดมดู ท่านได้กลิ่นอะไร”
อากัปกริยาดิ้นรนของชิวเยี่ยไป๋หยุดลงในพริบตา นางตั้งสติแล้วหลับตาสูดดมเบาๆ คนเรามีสัมผัสทั้งห้า เมื่อสัมผัสใดสัมผัสหนึ่งหายไป อีกสัมผัสหนึ่งก็จะเฉียบไวกว่าปกติ นี่เป็นธรรมชาติการปรับตัวของร่างกายมนุษย์เพื่อรับมือวิกฤต
และยามนี้ หลังนางหลับตาลง กลิ่นกำยานจางๆ บนผิวกายหยวนเจ๋อดูเหมือนมิได้ถูกลมชื้นของแม่น้ำพัดหายไป แต่กลับค่อยๆ เข้มข้นขึ้น เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่นางรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา กลิ่นหอมนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มข้นอย่างช้าๆ ตั้งแต่แรกเริ่มที่ทำให้สดชื่นดื่มด่ำค่อยๆ กลายเป็นฉุนรัญจวนและเย้ายวน
ซ้ำร้ายยังรุนแรงขึ้นทุกทีจนทำให้ผู้คนสติเลอะเลือนอ่อนยวบไปทั้งตัว
“กลิ่นหอมนี้…มีปัญหา หอมเกินไปจริงๆ และมอมเมาสติผู้คน นี่เป็นกลิ่นหอมอสูรตนใด เป็นตำรับลับของเจินเหยียนกงหรือ” ชิวเยี่ยไป๋ระงับใจ ตั้งสติถามดูและพยายามผลักหยวนเจ๋อออก
กลิ่นหอมนั้นเย้ายวนจิตใจเกินไป ขืนดมต่อไปนางก็มิรู้ว่าตนเองจะทำอะไรต่อ แต่ก็ยืนยันถึงการคาดเดาของนาง กลิ่นหอมบนตัวของหยวนเจ๋อมีปัญหา
และกลิ่นหอมเช่นนี้ ทำให้นางประหวัดถึงกลิ่นเย้ายวนบนร่างของไป๋หลี่ชู ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพคล้ายคลึงกัน แม้จะเป็นกลิ่นที่คล้ายกันเพียงเล็กน้อยก็ตาม
แต่กลิ่นหอมจากตัวไป๋หลี่ชู ดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นตามจิตใจของเขา ยามจิตใจสงบจะจางกว่า เช่นเดียวกับดวงตาประหลาดของเขาคู่นั้น สามารถชักจูงจิตใจผู้คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาชั่วร้ายการสะกดจิตที่เขาฝึกปรือสามารถควบคุมจิตใจคนไว้ได้ระยะสั้นๆ
ครั้งนี้หยวนเจ๋อมิได้ฝืนนางไว้ เขาปล่อยมือ แล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ นี่เป็นกลิ่นหอมศพ หรือพูดตามภาษาชาวจงหยวนเรียกว่ากลิ่นเหม็นศพก็ได้ อาตมาคิดว่ากลิ่นเหม็นศพน่าจะถูกต้องกว่า”
กลิ่นหอมศพ?
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋งงงัน นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าศพยังมีกลิ่นหอมด้วย หรือว่าศพมิใช่มีแต่กลิ่นเหม็น
อย่าว่าแต่ใครเล่าจะนำของประเภทนี้ทาตัวต่างเครื่องหอม
ดูเหมือนหยวนเจ๋อจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงหัวร่อเบาๆ กล่าวเหมือนหยามหยันว่า “ประหลาดมากใช่หรือไม่ แต่สำหรับนิกายลับของเจินเหยียนกงแล้ว ความตายมิใช่เรื่องน่ากลัว หากแต่เป็นหนทางปกติอย่างหนึ่ง ในการมุ่งสู่สุขาวดี ความเป็นกับความตายคั่นด้วยแม่น้ำสายหนึ่ง ซากศพก็เป็นเพียงยานของวิญญาณ เมื่อวิญญาณไปแล้ว ศพก็เป็นเพียงสิ่งที่ความศักดิ์สิทธิ์หรือบาปติดอยู่เท่านั้น จะเก็บไว้ทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการอะไร อาจสามารถรักษารูปโฉมยืดอายุวัฒนะก็เป็นไปได้”
ประโยคสุดท้ายของหยวนเจ๋อแผ่วเบา กลิ่นอายหยามหยันเข้มข้น
คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่ต่างอะไรกับนิยามทั่วไปของแดนสุขาวดีตะวันตกของพุทธศาสนา แต่มิทราบเพราะอะไร ชิวเยี่ยไป๋จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ
นี่เป็นพุทธศาสนาหรือ
หรือเป็นศาสนาชั่วร้าย
ทางพุทธมีคนที่กระดูกกลายเป็นสารีริกธาตุซึ่งเป็นของศักดิ์สิทธิ์
การใช้ศพคนเป็นสิ่งของ นางเคยเห็นแต่ในตำราพุทธะดั้งเดิมของเทียนจู๋ ก่อนพุทธะจะออกบรรพชา เคยเป็นสาวกของศาสนาพราหมณ์ ไม่ว่าจะเป็นนิกายเปิดหรือนิกายลับล้วนมีต้นตอจากคำสอนดั้งเดิมนั้น