และพริบตานั้นคนชุดดำบนหลังม้าก็ตรงเข้ามาจนเหลือไม่ถึงห้าสิบจั้ง
“สมควรตาย หลงกลแล้ว!” เหมยซูพลันยืนขึ้น เค้าหน้าที่เคยสดใสถูกปกคลุมด้วยความเย็นชา เขาสะบัดชิงเหลียนที่จะเข้ามาประคองมือเขา ตวาดคำสั่ง “ทหารทุกคนรีบฆ่าคนกองคั่นเฟิงในเวลาสั้นที่สุด หลังจัดการเสร็จแล้ว ทุกคนออกไปเตรียมรบทันที!”
ฝ่ายพวกเขาอย่างน้อยก็ร่วมสามร้อยคน อีกฝ่ายน่าจะราวร้อยกว่าคน คงรับมือมิได้
คำสั่งของเขากะทันหันเกินไป ทหารส่วนมากงงงันและยังไม่ทันตอบสนอง ถ้าฆ่าตัวประกัน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเจาะจงมาหาพวกเขา พวกเขามิใช่ต้องตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ
และในมือพวกเขาไม่มีอาวุธที่จะปะทะกับดาบฟันม้าได้!
ทหารตรงนี้ส่วนมากเป็นทหารประจำการรักษาท้องถิ่น ไหวหนานมิใช่ด่านชายแดน และไม่จำเป็นต้องปราบโจร ดังนั้นทหารพวกนี้จึงใช้ชีวิตปกติเหมือนราษฎรทั่วไปด้วยซ้ำ ส่วนมากไม่เคยเห็นเลือดคนด้วย
ปกติต่อให้ดุร้ายเพียงใด ก็แค่ทำกับชาวบ้านทั่วไปหรือไม่ก็คน ‘ตามหมายจับ’ ไม่กี่คนเท่านั้น
แต่คราวนี้ที่พวกเขาเห็นคือจิตสังหารของนักขี่ม้าชุดดำและพลานุภาพที่น่าหวาดหวั่น พริบตานั้นก็เข่าอ่อนแล้ว รู้สึกว่าพวกคนสูงใหญ่ล่ำสันพวกนี้อาจย่ำใส่ศีรษะตนได้ทุกเวลา
จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพอเหมยซูสั่งไปก็จะโถมเข้าไป ยามนี้ได้แต่มือไม้สั่นคิดจะถอยหนี เหมยซูเห็นท่าทางไม่ได้เรื่องของพวกเขาแล้วก็โกรธจัด
แต่ยังดีที่แม้พวกเขาจะไม่กล้ารับศึกแต่ยังคงกล้าจะฆ่าคน พริบตานั้นท่อนไม้ใต้เท้าของพวกหยิบหย่งก็โดนเตะกระเด็นไป และดาบสังหารก็ประเคนใส่ต้าสู่กับพวกอย่างไม่เกรงใจ
ทว่า…
เคร้ง!
ฟิ้ว!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นหลายเสียง กรงเล็บบินหลายสายพุ่งชนใส่ดาบในมือของพวกทหาร ทำเอาดาบของพวกเขาเบี่ยงเบนไปอย่างแข็งขืนแล้วม้วนกลับกระชากอีกที พริบตานั้นพวกทหารกลับโดนดาบในมือที่ควบคุมมิได้บาดใส่ตนเอง บางคนเคราะห์ร้ายถึงกับโดนดาบของตนเองตัดคอแยกจากร่าง เลือดอาบอยู่ตรงนั้นเลยทันที
เวลาเดียวกันกรงเล็บบินอีกส่วนหนึ่งพุ่งใส่แคร่แขวนคอ พวกคนชุดดำบนหลังม้าที่ขว้างกรงเล็บบินอยู่รอบนอกรั้งบังเหียนอย่างรวดเร็ว แล้วชักม้าห้อออกไปอย่างแรง
กำลังของม้าที่ตะบึงเต็มฝีเท้าพลันกระชากเอาแคร่ประหารชั่วคราวที่เดิมทีก็ไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้วล้มครืนลงกับพื้น!
พวกหยิบหย่งที่ถูกแขวนคอกำลังดิ้นรนหล่นฟาดกับพื้นทันที แต่เห็นได้ชัดว่า พวกเขาที่รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดพากันกุมลำคอหอบหายใจด้วยน้ำตานองหน้า
ยามนี้ดาบฟันม้าที่คมกริบเย็นเยียบส่องประกายแห่งความตายเมื่อต้องแสงตะวัน กำลังสาดใส่ศีรษะของพวกทหารและเหมยซู
เหมยซูไม่ขยับ เอาแต่จ้องหน้ากากผีบนม้าเขม็ง เท้าม้าของอีกฝ่ายแทบจะย่ำใส่หัวแล้ว นาทีนี้เขาจึงได้เห็นยิ้มเย็นชาในตาของนางและรูปปากที่ไร้เสียง
…ไปตายเสียเถิด!
เหมยซูหรี่ตา ราวกับไม่เห็นดาบฟันม้าในมือนางที่เงื้อใส่ตน ได้แต่ถอนใจเบาๆ อย่างเสียดาย
เขาหลงกลชิวเยี่ยไป๋แล้ว เจ้านกเหยี่ยวตัวนี้คำนวณได้อย่างแม่นยำว่า หลังเขาจับคนได้แล้วจะต้องเจรจากับนาง ส่วนนางไม่คิดจะเจรจากับเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่อาศัยจิตใจเช่นนี้ของเขาดึงระยะการโจมตีระหว่างทั้งสองฝ่ายให้ใกล้เข้ามา
ม้าที่เร็วที่สุด ดาบที่คมที่สุด นักรบที่แข็งแกร่งที่สุด…ยังมีหัวหน้าโจรที่กลอกกลิ้งเหมือนจิ้งจอก ยังจะมีใครที่ช่วยมิได้อีกเล่า
พวกทหารรอบข้างได้ยินเสียงแผดร้องโหยหวนและกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ทำให้ไม่ต้องดูก็รู้ว่า นี่แทบจะเป็นการฆ่าหมู่คนสามร้อยกว่าโดยคนร้อยกว่า!
เขาเพียงจดจ่อที่ดาบซึ่งแทบจะฟันใส่หว่างคิ้วในพริบตา หัวร่อเบาๆ…ชิวเยี่ยไป๋ ข้าดูเบาเจ้าเกินไป แต่ไม่มีครั้งหน้าแน่!
เคร้ง! ดาบปะทะกันจนเกิดประกายไฟกระจายทั้งสี่ทิศ เจิ้งหยางพลันถลันตัวขวางหน้าเหมยซูราวภูตผี กระบี่คู่ในมือไขว้กันรับดาบฟันม้าของชิวเยี่ยไป๋
“คุ้มกันคุณชายใหญ่ออกไปเร็ว!”
เจิ้งหยางส่งเสียงหนัก องครักษ์ตระกูลเหมยที่เดิมทีอยู่ข้างหลังพวกทหารพลันโถมออกมาหมด ตวัดมือทุ่มของในมือใส่ชิวเยี่ยไป๋และพวกคนขี่ม้า
ชิวเยี่ยไป๋ได้กลิ่นกำมะถันดินปืนในอากาศ จึงตะโกนก้อง “ระวัง ระเบิดอสุนีบาต!”
ขาดคำนางชักม้าในพริบตา ยกมือชักมีดฟันม้าเล่มใหม่ ใช้สันดาบตวัดระเบิดอสุนีบาตที่ขว้างใส่ตนเองกลับคืนไป
คนชุดดำพากันเลียนแบบนาง ตบระเบิดอสุนีบาตคืนไป ที่ฝีมือไม่ถึงขั้นยังคงตบจนกระเด็นไกลออกไปทั้งหมด
ตูม ตูม ตูม!
เสียงระเบิดดังต่อเนื่อง ระเบิดจนพวกทหารร้องระงม แต่ม้ากลัวเพลิง ม้าที่พวกโจรร้ายชุดดำขับขี่อยู่ยังคงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
จนกระทั่งฝุ่นควันจางลง ภายใต้การคุ้มกันอย่างโซซัดโซเซตลอดทางของบรรดาองครักษ์ รถม้าของเหมยซูก็ลงเรือน้อยลำหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงซึ่งมิรู้ว่าไปได้มาจากไหน และกำลังพายสู่กลางคลองขุด
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตา ประกายเย็นเยือกที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายการฆ่าฟันร้องเฮอะอย่างเสียดายอยู่บ้าง “เฮอะ จริงๆ เลยนะ…พลาดไปนิดเดียว”
แต่ถ้าเหมยซูถูกนางฟันตายง่ายๆ ก็มิใช่เหมยซูแล้ว
…
สองวันต่อมา
ลมราตรีเย็นเล็กน้อย อากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวน้ำจางๆ ลมแม่น้ำเบาบางโชยมาอย่างสงบและนุ่มนวล
ชิวเยี่ยไป๋ยืนเงียบๆ ที่กราบเรือ มองดูไฟของเรือประมงที่ลอยอยู่เป็นจุดๆ บนแม่น้ำ ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง ในที่สุดก็ออกจากหนานอั้นจนได้
พวกเขาโดยสารเรือที่จัดแจงโดยสำนักหอซ่อนกระบี่ ทยอยกันออกจากหนานอั้นอย่างราบรื่น และกำลังจะถึงเมืองเล็กๆ ที่อยู่ปลายน้ำ
วันเวลาอกสั่นขวัญผวาในหนานอั้นผ่านไปแล้ว
“ประสกเสี่ยวไป๋” เสียงเสนาะหูเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นด้านหลังนาง
ชิวเยี่ยไป๋ชะงักการเคลื่อนไหว หันไปมองหยวนเจ๋อ ดวงตานางฉายแววสับสนจากนั้นทักทายเรียบๆ “อาเจ๋อ”
“ประสกเสี่ยวไป๋ อาตมามาอำลาท่าน” หยวนเจ๋อแลดูนางพลันประนมมือก้มตัวลง
ชิวเยี่ยไป๋งงงันแต่ก็ปรับท่าทางให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว “อำลา เจ้าจะไปไหนหรือ”
หยวนเจ๋อเดินถึงข้างกายนาง เขามองดูชิวเยี่ยไป๋กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ อาตมากอดท่านได้ไหม”
ชิวเยี่ยไป๋ตะลึง เลิกคิ้ว “เจ้าว่าอันใดนะ”
“อาตมาพูดว่า…อาตมาจะกอดประสกเสี่ยวไป๋สักครั้งได้ไหม” หยวนเจ๋อยิ้มน้อยๆ มองดูนางอย่างสงบ รอยยิ้มบริสุทธิ์และสงบดุจธารใสในภูเขา
ชิวเยี่ยไป๋มิทราบว่าทำไมมองดูรอยยิ้มของเขาที่อยู่เบื้องหน้ากลับคล้ายอีกใบหน้าหนึ่งแต่เป็นใบหน้าเย้ายวนชั่วร้ายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หยวนเจ๋อเห็นนางซึมเซาก็มิได้คิดมาก ถือว่านางเห็นชอบแล้ว จึงเอื้อมมือรั้งเอวนางเบาๆ ไว้ในอ้อมอก “อาตมาขอขอบคุณท่านประสกเสี่ยวไป๋”