กว่าชิวเยี่ยไป๋จะได้สติ ปลายจมูกของตนก็แนบกับหัวไหล่ของหลวงจีน ได้กลิ่นกำยานจางๆ บนตัวเขา คราวนี้ไม่รู้เพราะอะไร กลิ่นกำยานนี้ดมแล้วเจือจางและสบายกว่าครั้งก่อน
รับรู้ถึงจิตใจบริสุทธิ์ที่หยวนเจ๋ออยากแสดงต่อนาง ชิวเยี่ยไป๋ลังเลครู่หนึ่ง มิได้ปฏิเสธแต่กล่าวเนือยๆ ว่า “อาเจ๋อขอบใจข้าทำไม”
เสียงนุ่มนวลสงบของหยวนเจ๋อดังที่ข้างหู “อาตมาขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ให้ท่านกับข้าผูกบุญสัมพันธ์ อาตมารู้ตัวว่าโง่งมต่อเรื่องทางโลก แต่วันเวลาเหล่านี้ประสกเสี่ยวไป๋ทำให้อาตมาได้พบเห็นแสงและเสียงที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อาตมาพูดไม่เก่งแต่ก็รู้ว่านี่เป็นบุญกุศล”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ คางเกยกับไหล่เขาอย่างเกียจคร้าน กล่าวเนิบนาบว่า “ทำไม คนในเจินเหยียนกงคุ้มกันเจ้าดีเกินไปหรือ”
กอดนี้ อิงแอบเช่นนี้ช่างสบายจริง
หลายปีนี้ มีแต่คนอิงนางตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกอดนางเช่นนี้ ความรู้สึกสดใหม่มาก อาจเพราะกลิ่นกำยานบนตัวของหยวนเจ๋ออบอุ่นและบริสุทธิ์เสมอมา จึงทำให้ผู้คนรู้สึกวางใจอย่างประหลาด
หยวนเจ๋องงงัน เงยหน้ามองนาง “ท่านรู้หรือ”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางประหลาดใจของหยวนเจ๋อจึงเลิกคิ้วกล่าวว่า “หรือเจ้าจะให้ข้าถือว่าคำพูดพวกนั้นของเจ้าเหมือนลมผ่านหู”
หยวนเจ๋ออึ้งไป ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าช้าๆ แลดูชิวเยี่ยไป๋ด้วยสีหน้าสับสน พึมพำกับตนเองว่า “พูดหมดแล้วกระมัง หรือท่านยังตัดสินใจจะได้เอาหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋ดูท่าทางหยวนเจ๋อแล้วก็งงไปหมด เจ้าหลวงจีนคนนี้กำลังพร่ำเพ้ออะไร
หยวนเจ๋อมองมาแล้วหัวร่อ “ไม่มีอะไร แค่นึกถึงบางเรื่องเท่านั้น”
เขาหยุดลง เอื้อมมือเสยผมสีเงินยวงที่ปรกหน้าแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านพูดไม่ผิด วังเจินเหยียนกงกับสิ่งที่อาตมาเห็นในระยะนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“เจ้าเห็นอะไร” ชิวเยี่ยไป๋จำต้องบอกว่ายังคงอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง หลวงจีนคนนี้โง่งมซึมเซาแต่ไหนแต่ไร ที่แสดงอานุภาพจริงคือตอนที่มีคนเหยียบของกินของเขาบนเกาะน้อย ดูแล้วเหมือนได้สติสตางค์อยู่บ้าง ยามปกติไม่ใช่กินก็นอน ตื่นขึ้นมายังสะลึมสะลืออยู่นั่นเอง
หยวนเจ๋อโค้งมุมปาก “อาตมาเห็นยุทธจักรที่แท้จริง หมดจดในบุญคุณความแค้น ขับม้าเหินเรือ เห็นความจริงใจภายใต้แผนการ เห็นความจริงใจและความทระนงในความสามารถของตนเองภายใต้หน้ากากเหลวไหล”
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตาเล็กน้อย หันไปมองพวกคนหยิบหย่งที่หลังรอดตายอย่างหวุดหวิดแล้ว กำลังดื่มเหล้าทายนิ้วอย่างครื้นเครง “ข้าจะเข้าใจว่าเจ้ากำลังชมข้าได้ไหม เจ้าชมข้าก็ไม่เป็นไร แต่จงอย่าให้ไอ้พวกผีทะเลพวกนั้นได้ยินเจ้าชมพวกมัน ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคงหางชี้ฟ้าแล้ว”
หยวนเจ๋อหัวร่อคราหนึ่ง มองตามสายตานางไปยังความครึกครื้นใต้แสงไฟ เป็นกลิ่นอายของทางโลกล้วนๆ เขาถอนใจเบาๆ “ที่สำคัญอาตมายังมองเห็น…อิสรภาพ”
อิสรภาพ…
คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋เออออด้วยอย่างไม่ง่ายนัก หยุดชั่วขณะแล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “ใช่ อิสรภาพ…”
มิรู้เพราะอะไร นาทีนี้จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าคำนี้นับแต่นี้ไปจะห่างไกลจากนางจนสุดกู่
หยวนเจ๋อพลันเอนเข้าใกล้นาง ก้มหน้าลงเอื้อมมือช่วยเสยไรผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงไปทัดไว้หลังใบหู
“อีกสักครู่ อาตมาจะขึ้นจากเรือแล้ว จึงขออำลาก่อน”
เขาอยู่ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ อากัปกริยานุ่มนวลจนแสนสนิทสนม ทำเอานางหายใจช้าลงเล็กน้อย สายตาตกอยู่ที่ดวงตาซึ่งมีขนตางอนยาวและนัยน์ตาสดใสสีเทาเงิน
มองดูใบหน้านี้ในระยะประชิด ยิ่งทำให้รู้สึกว่าผิวกายของหยวนเจ๋อขาวละเอียดจนแทบจะโปร่งใส
นางกล่าวอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “เจ้าจะไปหาคนของเจินเหยียนกงหรือ”
ได้ยินว่าหยวนเจ๋อจะจากไป จะบอกว่านางไม่รู้สึกสะทกสะท้อนเลยย่อมเป็นไปไม่ได้
“ไม่ พวกเขาจะมาหาข้าเอง” หยวนเจ๋อกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วแตะจอนผมของนางให้เรียบร้อย ราวกับว่านี่เป็นงานชิ้นสำคัญ
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจของเขาถึงกับไม่คิดจะห้ามปรามอากัปกริยาที่แสนสนิทสนมนี้
จู่ๆ นางก็ใจลอย “อืม…อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
หยวนเจ๋อเก็บไรผมนางเสร็จพลันถามว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ อาตมาจะขอให้ท่านรับปากเรื่องหนึ่งได้ไหม”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขา รู้สึกว่าท่าทางของเขานุ่มนวลดุจสายน้ำ ทำให้ผู้คนรู้สึกหลอนเหมือนเมามายอยู่ในบึงน้ำใสอย่างอดมิได้ และกล่าวอย่างนุ่มนวลตามสัญชาตญาณว่า “เรื่องอะไรหรือ”
จู่ๆ หยวนเจ๋อก็หน้าแดงระเรื่อ สีชมพูเล็กน้อยบนผิวกายที่ผุดผ่องของเขากลายเป็นสีสันที่เย้ายวนผู้คน ชิวเยี่ยไป๋อดหรี่ตามิได้ มองดูรอยแดงชมพูนั้นถามอีกครั้ง “ไม่เป็นไร เจ้าบอกมาก็แล้วกัน ถึงอย่างไรเราก็คบหากันมา เจ้าบอกตรงๆ เถิด”
หยวนเจ๋อเห็นท่าทางของนาง คิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างขวยเขินว่า “อาตมาหิวแล้ว”
พูดจบ เสียงโครกครากก็ดังจากท้องของเขา
ชิวเยี่ยไป๋ “…”
นางช่างโง่อะไรอย่างนี้ ถึงได้คาดหวังอะไรจากหลวงจีนโง่งมที่นอกจากเรื่องกินแล้วไม่นับญาติกับใครเลย!
“เจ้าอยากกินอะไร เดี๋ยวไปถึงก็ได้กินแล้ว” ชิวเยี่ยไป๋สีหน้าไร้ความรู้สึก พอพูดจบก็คิดจะหันกายไปเลย
แต่หยวนเจ๋อพลันดึงแขนเสื้อนางไว้ แล้วล้วงในแขนเสื้อของตนเอง หยิบป้ายยันต์ไม้ท้อออกมายื่นให้ชิวเยี่ยไป๋ ขณะเดียวกันกล่าวอย่างจริงใจว่า “มิรู้ว่าประสกเสี่ยวไป๋ยังจำได้ไหม วันนั้นเจ้ากับข้าตกน้ำพร้อมกัน ต่อมาอาตมาท้องหิวจริงๆ จึงกัดกินซาลาเปาที่วางบนอกท่านโดยไม่เจตนา อาตมายังจำได้ว่าซาลาเปานั้นนุ่มหยุ่นน่ากิน รสชาติดีมาก มิรู้ว่าประสกเสี่ยวไป๋ซื้อจากที่ใด ก่อนกลับวัดจะได้ให้คนไปซื้อสักเข่งหนึ่ง”
เขาจำได้ว่าแป้งที่ทำซาลาเปานั้นหมักได้ดีมาก เข้าปากนุ่มแต่ไม่เหลว ขบแล้วกุบกับดี
น่าจะเป็นฝีมือของพ่อครัวเก่า ก่อนหน้านี้พอเขาพูดถึงซาลาเปาประสกเสี่ยวไป๋เป็นต้องโมโห น่าจะเพราะเขาไปกินเอาซาลาเปาชั้นดีของอีกฝ่าย รับแล้วไม่คืนย่อมเสียมารยาท
“อาตมากับคนของเจินเหยียนกงระหว่างกลับราชธานีโดยทางน้ำ บังเอิญพลัดหลงกัน ดังนั้นบนตัวจึงไม่มีของมีราคาแต่อย่างใด เหลือแต่ป้ายยันต์ของเจินเหยียนกงที่พอจะให้ได้ ป้ายยันต์ไม้ท้อนี้ใช้ระดมสาวกของเจินเหยียนกงได้ส่วนหนึ่ง เห็นป้ายดุจเดียวกับเห็นเจ้าอาวาสหรืออาตมา บางทีประสกเสี่ยวไป๋อาจได้ใช้”
พูดจบ เขาก็นำป้ายยันต์ไม้ท้อสองอันใส่มือชิวเยี่ยไป๋อย่างจริงจัง
ชิวเยี่ยไป๋มองดูของในมือด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่มิได้ปฏิเสธยัดเก็บไว้ในแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า “ของนี่ข้ารับไว้ แต่รับยันต์ไว้ ไม่มีซาลาเปา”
หยวนเจ๋องงงัน “ประสกเสี่ยวไป๋ไยจึงคาใจเช่นนี้ อาตมาก็แค่อยากกินซาลาเปาของประสกเสี่ยวไป๋วันนั้นเท่านั้นเอง”
หรือว่าประสกเสี่ยวไป๋ไม่อยากให้ของนี้กับเขาเช่นเดียวกับเถ้าแก่จูของเหลาสุรานั้น