ชิวเยี่ยไป๋กำลังจะหันกายจากไป คราวนี้หางตาเครียดเขม็ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหันหน้าเย็นชาแสยะใส่หยวนเจ๋อ “ข้าขี้ตืดอย่างนี้แหละ ทำไม เจ้าอยากกินซาลาเปาก็เอานกย่างของเจ้ามาแลกสิ!”
“นกย่าง นกกระจอกหรือ” หยวนเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกลำบากใจ
ตอนนี้ดึกแล้ว นกทั้งหลายกลับรังแล้ว เขาจะไปจับนกได้ที่ไหนเล่า
อีกอย่าง เขารู้สึกว่าประสกเสี่ยวไป๋ยิ้มน่ากลัวมาก เหมือนอสูรกายกินคนที่แกะสลักในศาลเจ้า
ชิวเยี่ยไป๋แสยะยิ้มส่ายหน้าต่อ ชี้ไปที่หว่างขาของเขา “นกตรงนั้น!”
หยวนเจ๋อฟังแล้วหน้าถอดสี จับจ้องที่มือของชิวเยี่ยไป๋ที่กุมมีดบนเอวแล้วสั่นศีรษะอย่างว่าง่าย “จู่ๆ อาตมาก็ไม่รู้สึกหิวแล้ว”
…
ยามราตรี เรือน้อยเทียมฝั่งข้างเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อเติมเสบียงและของใช้
คนบนเรือส่วนมากหลับใหลไปแล้วเพราะความเหน็ดเหนื่อย กลับมีเงาร่างสองคนก้าวขึ้นจากเรือ ร่างหนึ่งสีขาวอีกร่างสีคราม
“เราจะไปหาของกินหน่อย อาจกลับมาดึก” ชิวเยี่ยไป๋สั่งคนเรือและองครักษ์ระวังภัย
ไต้ก๋งเรือผงกศีรษะทันที “ท่านไปเถิด จะให้ใครไปด้วยไหม”
ชิวเยี่ยไป๋สั่นศีรษะ “ไม่ต้อง”
เป็นการหยุดเทียบฝั่งเมืองเล็กๆ ชั่วขณะ นางคิดว่าไม่น่าจะพบอันตรายใดๆ
พูดจบนางก็พาหยวนเจ๋อเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง
เมืองเล็กๆ นี้แม้จะไม่ครึกครื้นเหมือนสามหัวเมืองของไหวหนาน แต่เพราะเป็นชุมทางสัญจรทางน้ำเช่นกัน ดังนั้นตามถนนแถวท่าเรือจึงไม่มีคำสั่งห้ามออกจากบ้านยามวิกาล
และมิรู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ถึงกับไม่ห้ามทั้งเมือง ทุกแห่งหนแขวนโคมไฟสวยงามและร่มแดงเต็มไปหมด ไม่เพียงพ่อค้าหาบเร่ตามถนนไม่หายไป บนถนนยังมีผู้คนไม่น้อย บ้างเป็นคนเยาว์วัยหรือพวกดรุณีก็ชักชวนกับเดินเที่ยวจึงเป็นภาพลักษณ์อีกแบบหนึ่ง
“ท่านลุง วันนี้เป็นวันอะไรของเมืองเราหรือ ทำไมครึกครื้นเช่นนี้” ชิวเยี่ยไป๋นึกดู ยังคงเดินไปถามผู้เฒ่าที่ขายน้ำเต้าทำด้วยน้ำตาลแถวนั้น
ผู้เฒ่ามองดูบุรุษเยาว์วัยที่หล่อเหลามิมีใดเทียมเบื้องหน้า แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “วันนี้วันเพ็ญเดือนแปดเป็นวันไหว้พระจันทร์ พ่อหนุ่มมิรู้หรือ”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน มองดูท้องฟ้าตามสัญชาตญาณ ก็เห็นจันทร์เพ็ญกระจ่างฟ้า เปล่งแสงนุ่มนวล
มองดูโคมไฟเต็มถนน ตามต้นไม้มีแถบผ้าหลากสีขอพรแขวนเต็มไปหมด นางจึงนึกขึ้นได้ ใช่แล้ว วันนี้สิบห้าเดือนแปด
มิน่าเล่าสองวันก่อน นางจึงเห็นแต่พระจันทร์เต็มดวง
“ขอบคุณท่านลุง พักนี้งานยุ่งจนไม่รู้เรื่อง” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างจนใจเอื้อมมือคลึงหน้าผากตนเอง
ถึงกับเป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้ว พวกเขาถึงกับไม่มีใครนึกถึง
ผู้เฒ่าคนนั้นมองนางแล้วหัวร่อ ‘ฮ่าๆ’ กล่าวอย่างเห็นใจว่า “อายุยังน้อยลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่วันตรุษวันสารทยังต้องตรากตรำเลี้ยงชีพอยู่ข้างนอกก็ไม่ง่ายเลยนะ คนที่บ้านคงคิดถึงพวกเจ้าแย่”
ว่าแล้วเขาพลันปลดน้ำเต้าที่ทำด้วยน้ำตาลสองไม้จากแคร่ในมือยื่นให้ชิวเยี่ยไป๋ “เอ้า ให้เจ้าสองพี่น้อง”
ชิวเยี่ยไป๋ให้หยวนเจ๋อเปลี่ยนจีวรที่สะดุดตาเป็นเสื้อผ้าธรรมดา
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขายื่นขนมน้ำเต้าให้ตน ดวงตาฉายแวววูบหนึ่ง คนที่บ้านหรือ
นอกจากมารดาแล้ว คงไม่มีใครคิดถึงนางกระมัง
นางยื่นมือรับขนม ยัดเหรียญอีแปะหลายสิบอันให้ผู้เฒ่าแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านลุง แต่วันไหว้พระจันทร์ท่านทิ้งคนที่บ้านออกมาหาเงิน ก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะ”
ผู้เฒ่ารับเงินไว้ ยิ้มและหันกายจากไป
ชิวเยี่ยไป๋ส่งขนมน้ำเต้าในมือให้หยวนเจ๋อ “ถือไว้นะ”
หยวนเจ๋อไม่เคยปฏิเสธของกินอยู่แล้ว มองดูผู้เฒ่าแล้วมองน้ำเต้าน้ำตาลในมือก็รับไว้ แต่กลับมิได้เอาเข้าปากทันที
ดึกดื่นค่อนคืน ยามนี้ชิวเยี่ยไป๋ไม่อยากกินอะไร เพียงเพราะรู้สึกว่าผู้เฒ่าใจดีจึงมิได้ปฏิเสธ
“ในเมื่อเป็นวันสารทไหว้พระจันทร์ พวกเราไปเดินเล่นกันเถอะ” ชิวเยี่ยไป๋มองดูถนนสายน้อยยามค่ำที่จอแจ มีแค่โคมไฟและเป็นภาพปกติของโลก อารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาดและเดินไปข้างหน้า
หยวนเจ๋อมองดูใบหน้าด้านข้างใต้แสงไฟของนาง เค้าหน้าดูแล้วนุ่มนวลเป็นพิเศษ
เขาหัวร่อ “ดี”
พูดจบพลันยุดแขนเสื้อชิวเยี่ยไป๋ไว้ “คนเยอะเกินไป เดินไปอย่างนี้เถอะ”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูดวงตาสีเทาเงินที่เปิดเผยร่าเริง จึงยิ้มและมิได้ปัดป้อง “ดี”
ทั้งสองคนเดินมุ่งไปตามถนนสายน้อยที่ครึกครื้น พออารมณ์ดีก็ทายปริศนาโคมไฟแล้ว เล่นกับพวกแสดงปาหี่ตามถนนบ้าง เมื่อไม่มีแรงกดดันจากทหารที่ตามล่า ทั้งสองจึงเที่ยวเล่นอย่างเบิกบาน
แม้หยวนเจ๋อจะดูแล้วโง่งมอยู่บ้าง แต่ทายปัญหาปริศนาโคมไฟถูกทุกครั้ง ได้โคมไฟหลายอันเป็นรางวัล ทำเอาชิวเยี่ยไป๋ต้องประเมินเขาใหม่
ทั้งสองนอกจากชมดูโคมไฟตกแต่งหลากรูปแบบ ทายปริศนาโคมไฟแล้ว ตลอดทางเห็นอะไรน่ากินก็ซื้อกินเล่นบ้าง
ดูเหมือนคืนนี้หยวนเจ๋อจะหิวเป็นพิเศษ ตลอดทางเรียกร้องเอาของว่างที่นางซื้อไปทั้งหมดเก็บไว้ในถุงกระดาษน้ำมัน แล้วกินอย่างเรียบร้อย
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางเขาก็นึกขัน จึงแวะหยุดลงที่หน้าเหลาสุราแห่งหนึ่งกล่าวว่า “หิวโซขนาดนี้เชียวหรือ กินของว่างพวกนี้ไม่อิ่มท้องหรอก หาเหลาสุรากินอะไรหน่อยดีกว่าไหม”
แต่นางจำได้ว่าวันที่เก็บหยวนเจ๋อมาเขากินเก่งแค่ไหน แม้ในเวลาต่อมาจะซาลงบ้างก็ตาม แต่ยังคงกินจุเป็นสามเท่าของคนธรรมดา
เสี่ยวเอ้อร์หน้าเหลาสุรานั้นเห็นมีแขกเข้ามา ก็รีบกุลีกุจอต้อนรับพวกเขา “นายท่าน ชั้นบนมีที่นั่งชั้นดีนะขอรับ!”
หยวนเจ๋อพยักหน้า แต่ไม่เห็นด้วยกับชิวเยี่ยไป๋ที่จะไปเหลาสุราเล็กๆ หากแต่เหลียวซ้ายแลขวา แล้วพลันชี้ไปที่แผงขายเกี๊ยวน้ำของแม่เฒ่าคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง “กินนั่นเถอะนะ!”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน แต่ไม่ได้ว่าอะไร ไหนๆ นางก็จะเลี้ยงหยวนเจ๋ออยู่แล้ว เขาไม่อยากกินเหลาอยากกินเกี๊ยวน้ำนางก็ไม่ขัด
เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเห็นไม่มีใครเหลียวแล ดวงตาฉายแววดุร้ายเย็นเยียบวูบหนึ่ง แล้วเหลือบมองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ถือโคมไฟท่าทางเหมือนลูกค้า สามีภรรยาคู่นั้นมองเขาแวบหนึ่งและพยักหน้า แล้วหันกายเดินไปแผงขายเกี๊ยว
ชิวเยี่ยไป๋กับหยวนเจ๋อนั่งลงแล้วสั่งเกี๊ยวน้ำสองชาม
แม่เฒ่าหน้าตาใจดี เห็นทั้งสองนั่งลงก็รีบลวกเกี๊ยวทันที เวลานี้สามีภรรยาคู่นั้นก็มาถึงและนั่งลงข้างแผง
“เจ้าคนขายเกี๊ยว มาเก็บโต๊ะหน่อยสิ”
แม่เฒ่ารีบไปเก็บโต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ฝ่ายสตรีลุกขึ้นเหมือนจะดูของว่างอื่นบนแผง มือปาดเบาๆ ที่ชามใบหนึ่งข้างเตาที่เตรียมจะใส่เกี๊ยว และผงบางอย่างก็ร่วงลงในชามเล็กน้อยจนแทบจะดูไม่ออก