จากนั้น สตรีผู้นั้นเหมือนลังเลครู่หนึ่งและเหยาะผงยาใส่อีกชาม แล้วกลับมานั่งข้างบุรุษเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหัวร่อต่อกระซิกกับฝ่ายบุรุษต่อไป
จนกระทั่งแม่เฒ่าเก็บโต๊ะเสร็จแล้วก็รีบกลับไปที่เตาลวกเกี๊ยว ครู่เดียวเกี๊ยวน้ำหอมหวนชวนกินสองชามก็เสร็จเรียบร้อย แม่เฒ่าจึงยกไปให้
เห็นบนหน้าชามเกี๊ยวมีเปลือกกุ้ง สาหร่าย หอมสับลอยฟ่อง กลิ่นหอมหวนชวนกินทำเอาอยากอาหารขึ้นมาทันที
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อกล่าวว่า “น่ากินขนาดนี้ แม้ข้าจะไม่ค่อยหิวยังอยากลองสักหน่อยเลย”
หยวนเจ๋อดมกลิ่นหอมฉุยแล้ว สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นเหม่อลอย
ชิวเยี่ยไป๋มิได้สังเกตสีหน้าของเขา ยกช้อนขึ้นจะตักน้ำแกงลองชิมดู พลันเห็นมือเรียวยาวขาวผ่องข้างหนึ่งยกชามเกี๊ยวน้ำออกไป
หยวนเจ๋อยกชามเกี๊ยวไว้ตรงหน้าตนอย่างมิเกรงใจแล้วก้มลงกิน ราวกับไม่กลัวว่าเกี๊ยวที่เพิ่งขึ้นจากหม้อจะลวกปาก
ชิวเยี่ยไป๋มองดูช้อนในมือแล้วยื่นมือไปจะยกชามเกี๊ยวของตนเอง แต่หยวนเจ๋อพลันยื่นมือคว้าไว้แล้วเทใส่ชามของตนอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
การกระทำนี้ทำเอาแม่เฒ่าที่เก็บโต๊ะอยู่ข้างๆ ตะลึง “หนุ่มน้อยเจ้าหิวจัดละสิ จะให้ข้าทำให้อีกชามไหม”
ถึงกับแย่งกินของเพื่อนเชียวหรือ
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วกล่าวว่า “มาสักสิบชามพอให้เจ้ากินไหม แต่กินจุเกินไปก็เป็นโรคชนิดหนึ่งนะ กลับไปแล้วหาท่านหมอตรวจดูสักหน่อยเถอะ”
การดื่มกินแบบสวาปามกับการไม่อยากอาหารล้วนเป็นโรคชนิดหนึ่ง ถ้าว่ากันตามยุคสมัยหลังเรียกว่าประสาทบางส่วนขาดสมดุล หากเป็นเช่นนี้ระยะยาวร่างกายจะทนไม่ไหว
หยวนเจ๋อก้มหน้าก้มตากินพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องสั่งเกี๊ยวน้ำอีกแล้ว ถ้าอาตมาไม่กิน ไม่แน่ว่าจะสามารถนั่งคุยกับประสกเยี่ยไป๋ตรงนี้ได้หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋นึกขันร้องเชอะกล่าวว่า “ไม่ผิดเพราะยามนั้นเจ้ากำลังนอนหลับ”
หยวนเจ๋อก้มหน้ากลืนเกี๊ยวลูกสุดท้ายในชามลงท้อง แล้วเงยหน้ายิ้มให้ชิวเยี่ยไป๋ “นั่นนะสิ อาตมาถ้าไม่กินก็อยากนอน อาตมาง่วงแล้ว เรากลับไปพักผ่อนกันดีไหม”
พูดจบเขาลุกขึ้นเดินถึงข้างกายชิวเยี่ยไป๋ฉุดแขนนาง “ไปเถอะ”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่ว่าอะไร เพียงมองดูแม่เฒ่ายิ้มๆ แล้วล้วงเงินก้อนเล็กวางบนโต๊ะ “เก็บเงิน”
แม่เฒ่าเห็นเงินก้อนนั้นน่าจะหนักหนึ่งตำลึงก็งงงัน “นายท่าน เกี๊ยวน้ำของข้าผู้ชราแค่ชามละแปดเหวิน เงินท่านก้อนนี้ต่อให้ข้าเทเหรียญทั้งกระเป๋าก็ทอนไม่ครบ”
ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้า “ไม่ ท่านผู้เฒ่า เงินนี้ท่านเก็บไว้ ประเดี๋ยวอาจมีเรื่องบางอย่างละเมิดต่อท่าน ถือเสียว่าข้าน้อยชดใช้ล่วงหน้าก็แล้วกัน”
แม่เฒ่างงงัน “อะไรนะ”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่ตอบ เพียงชี้ไปที่มุมกำแพงสั่งว่า “ท่านหลบไปก่อน”
แม่เฒ่ารู้สึกประหลาดใจ แต่มิรู้อย่างไรบุรุษเยาว์วัยหล่อเหลาเบื้องหน้าที่ยิ้มแย้มนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าไม่มีเจตนาร้าย และน้ำเสียงนั้นก็ทำให้ผู้คนมิอาจขัดขืน แม้นางจะงุนงงมิเข้าใจ แต่ยังคงก้าวไปมุมกำแพงอย่างว่าง่าย
หยวนเจ๋อมองดูชิวเยี่ยไป๋เหมือนอยากพูดอะไร แต่เห็นชิวเยี่ยไป๋พลันหันไปมองสามีภรรยาคู่นั้นที่เอาแต่จ้องพวกเขาอย่างเย็นชาแล้วยิ้มให้ และยกมือกวาดถ้วยชามที่หยวนเจ๋อกินเหลือทุ่มใส่สองคนนั้นทันที
สามีภรรยาคู่นั้นนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋จะทำเช่นนี้ จึงลุกขึ้นทันทีและหลบด้วยท่าร่างที่รวดเร็ว
“เจ้าทำอะไรของเจ้า!” ฝ่ายสตรีถลึงตาใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างขุ่นเคือง
ชิวเยี่ยไป๋เคลื่อนไหวข้อมือพลางยิ้มน้อยๆ “ไม่ทำอะไร เพียงแต่วันนี้ข้ากำลังอารมณ์ดี อยู่ๆ กลับมีคนไม่เจียมตัวมาหาเรื่อง ทำเอาข้าคุณชายน้อยอารมณ์เสีย”
เพิ่งขาดคำ นางพลันคว้ามุมโต๊ะแล้วทุ่มใส่สองคนนั้น
ความป่าเถื่อนของนางทำเอาสามีภรรยาคู่นั้นตกใจจนสะดุ้ง ทั้งสองชักดาบในแขนเสื้อฟันใส่โต๊ะตัวนั้นแตกออกเป็นสองเสี่ยง
แต่นาทีต่อมา ที่พุ่งใส่หน้าถึงกับเป็นหม้อใบใหญ่น้ำร้อนเต็มหม้อ
มิรู้ว่าชิวเยี่ยไป๋อ้อมไปถึงหลังแผงได้อย่างไร และทุ่มหม้อน้ำเดือดใส่อีกฝ่าย
ทั้งสองไม่มีทางหลบจึงพากันเตะใส่หม้อน้ำแกง แต่พอเตะถูกน้ำเดือดทั้งหม้อก็สาดออกมา
สามีภรรยาคู่นั้นแม้จะพยายามหลบ แต่ยังคงโดนสาดไม่น้อย ลวกจนร้องเสียงหลง
“ชิวเยี่ยไป๋!”
“ตายเสียเถอะ!”
ทั้งสองถูกน้ำร้อนลวกจนโวยวายและโกรธจัด คนที่เป็นภรรยาจึงล้วงนกหวีดทำด้วยกระดูกลักษณะพิเศษออกมาเป่าอย่างแรง
เสียงที่ทุ้มต่ำพิกลกระจายออกไป จากนั้นคนถือดาบในแขนเสื้อกลุ่มใหญ่ในบริเวณนั้นก็ฮือกันเข้าล้อมชิวเยี่ยไป๋และหยวนเจ๋ออย่างแน่นหนา
เป็นคนที่เดินตามถนน คนหาบเร่ขายของจิปาถะ ยังมีลูกค้าของเหลาสุราข้างๆ และเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์
ชิวเยี่ยไป๋เห็นสภาพเช่นนี้พลันหัวร่อออกมา “จริงๆ เลยนะ…ท่าทางไม่เบา”
“มอบราชครูออกมา!” สตรีที่เมื่อครู่โดนชิวเยี่ยไป๋สาดหม้อน้ำร้อนลวกจนแทบหนังลอกถลึงตาใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างเกรี้ยวกราด
“ราชครูหรือ…ดูท่าพวกเจ้าเป็นคนของเจินเหยียนกงสินะ” ชิวเยี่ยไป๋มองดูดาบในแขนเสื้อที่มีตราประทับประหลาดหรูหราในมือพวกเขา จากนั้นถามอย่างมินำพาว่า “พวกเจ้าพูดตกไปคำ…มอบราชครูออกมา จะละเว้นชีวิตเจ้า”
สตรีผู้นั้นหัวร่อเย็นชา แววตาเปี่ยมด้วยจิตสังหาร “มอบหรือไม่มอบราชครู เจ้าก็อย่าหวังจะออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว!”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “อืม อย่างนี้หรือ ถ้าเช่นนั้นก็ยุ่งหน่อย”
นางพลันยกมือ ชักกระบี่อ่อนจากเอวพาดใส่คอหยวนเจ๋อทันที แล้วยิ้มให้สตรีกล่าวว่า “เจ้าสร้างปัญหาให้ข้า ข้าก็ให้ปัญหากับเจ้า แต่ข้าใจกว้างหน่อย ให้พวกเขาเลือกเอา ถ้าพวกเจ้าฆ่าตัวตายให้หมด ข้าก็ปล่อยราชครูของพวกเจ้า ว่าอย่างไร”
สตรีผู้นั้นกับคนของเจินเหยียนกงตะลึงในพริบตา มองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าเป็นวิญญูชน ทำไมจึง…” สตรีผู้นั้นร้องเสียงแหลมอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่คิดว่าคำถามของตนอาจงี่เง่าจึงหุบปากทันที
ชิวเยี่ยไป๋มองดูตาพวกเขาที่ทั้งอัดอั้น คับข้อง งงงัน และโกรธแค้น มุมปากเชิดขึ้น “ไม่ต้องตกใจขนาดนี้ ถ้าข้าเคยให้ภาพพจน์วิญญูชนจอมปลอมแก่พวกเจ้า ก็ขออภัยจริงๆ รีบคิดให้ดี ชีวิตพวกเจ้าสำคัญหรือชีวิตราชครูสำคัญกว่า พวกเจ้ากำลังทำให้ราชครูตกอยู่ในอันตราย พวกเจ้าลองเดาดู ถ้าเรื่องนี้ถูกคนในสำนักของพวกเจ้าหรือราชสำนักรู้เข้า พวกเจ้าก็คงไม่รอดกระมัง”