พูดจบเขาก็ชักแขนออกจากอ้อมอกนาง
เสวี่ยหนูรู้สึกอ้อมอกว่างเปล่า หัวใจก็ว่างเปล่า จึงมองดูหยวนเจ๋ออย่างอาดูรอยู่บ้าง “ราชครู เสวี่ยหนูปรนนิบัติท่านมานานปี ไยท่านจึงไม่แยกแยะความใกล้ชิดหรือเหินห่างเช่นนี้”
พูดแล้วนางก็ถลึงตาใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างขุ่นเคือง
หยวนเจ๋อกล่าวเนือยๆ ว่า “เสวี่ยหนู กฎเกณฑ์ในวัดเข้มงวดมาก เจ้ากับข้าล้วนเป็นคนในวัด ทางที่ดีอย่าล้ำเส้น อย่าว่าแต่บุรุษกับสตรีมิควรใกล้ชิดแม้แต่การให้กับการรับ”
เสวี่ยหนูสีหน้าเขียวสลับขาว กัดริมฝีปาก ก้มศีรษะอย่างนอบน้อม ประนมมือรับคำ “เจ้าค่ะ น้อมรับบัญชาเทวะ”
เสวี่ยหนูเพิ่งพูดขาดคำ ก็เห็นชิวเยี่ยไป๋ที่จู่ๆ ก็อ้าแขนกว้างกล่าวกับหยวนเจ๋อว่า “ไหนๆ ก็จะจากกันแล้ว อาเจ๋ออยากให้ข้ากอดสักครั้งไหม”
เสวี่ยหนูได้ยินเงยหน้าขึ้นทันที มองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างเหยียดหยาม กำลังออกปากถากถางเบาๆ “อาศัยเจ้า ก็คู่ควร…”
นางพูดยังไม่สิ้นเสียง หยวนเจ๋อกลับเอื้อมมือโอบชิวเยี่ยไป๋ไว้เบาๆ อย่างมิลังเล กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ประสกเสี่ยวไป๋ แล้วพบกันใหม่”
ชิวเยี่ยไป๋มิสำรวมแม้แต่น้อย ชำเลืองมองจากบ่าของหยวนเจ๋อแลดูใบหน้าเขียวคล้ำของเสวี่ยหนู ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “พบกันใหม่อาเจ๋อ”
ว่าแล้วนางก็โอบเอวเพรียวของอีกฝ่ายไว้และทำท่ากอดรัดเสียเลย ในมุมมองของหยวนเจ๋อดูแล้วเหมือนบริสุทธิ์ เป็นกอดที่ดีงามไม่เจือด้วยสิ่งใดแม้แต่น้อย
แต่…
สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มที่ชิวเยี่ยไป๋เผยให้เสวี่ยหนูเห็น มือที่กอดเอวของหยวนเจ๋อไขว้กันรัดไว้บนแผ่นหลัง ท่าทางนี้ดูแล้วเป็นกอดที่แสนสนิทสนม
แต่ไรมานางไม่เคยตระหนี่ที่จะขู่อย่างหยาบช้าใส่คนท้าทายที่น่าชังอยู่แล้ว
พริบตานั้นเสวี่ยหนูหน้าเขียวคล้ำจนเหมือนเหล็ก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเขม้นใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างเกรี้ยวกราด หลังมือขาวผ่องที่กำดาบในแขนเสื้อมีเส้นเอ็นโปนออกมาสองเส้น
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเสวี่ยหนูท่าทางเหมือนหัวใจโดนมีดทะลวงสองมีด อารมณ์เสียเพราะหยวนเจ๋อจะจากไปและการเดินท่องราตรีวันไหว้พระจันทร์ที่โดนคนทำลายจึงค่อยยังชั่วบ้าง
นางคลายมือ แลดูหยวนเจ๋อแล้วพยักหน้า “ข้าจะกลับแล้ว”
หยวนเจ๋อพยักหน้า มองตามชิวเยี่ยไป๋ที่หันกายลงเรือ พวกคนของสำนักหอซ่อนกระบี่บนเรือหลายลำที่มิทราบไปรู้ข่าวจากที่ใด เตรียมพร้อมในชุดรัดกุมยืนอยู่ที่กราบเรือแล้ว บนกราบเรือยังมีคนไม่น้อยถือศรธนูในมือเล็งมาบนฝั่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
เรือใหญ่ที่รับคนของพวกตนกลับมาอย่างปลอดภัยชักใบทันที แล้วแล่นสู่ความมือมิดเบื้องหน้าต่อไป
หยวนเจ๋อยืนเงียบๆ บนฝั่ง มองดูเงาร่างบนหัวเรือที่เล็กลงทุกที ค่อยๆ ลับไปในม่านราตรี เขาถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “กลับวัดเถิด”
“เจ้าค่ะ!” เสวี่ยหนูผงกศีรษะรับคำอย่างนอบน้อมทันที แววตากวาดผ่านเงาสีเงินของเรือที่ไกลออกไป ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ
…
สองเดือนต่อมา
ฤดูสารทที่ท้องฟ้าสดใสเช้าตรู่ แสงตะวันอันอบอุ่นสาดส่องใส่หมู่บ้านในภูเขาแห่งหนึ่งของเมืองเอกมณฑลเจียงจง หยดน้ำบนใบไม้เขียวขจีทอประกายสดใส สายลมจากท้องทุ่งที่ไกลออกไปโชยพัดกลิ่นอายของดินโคลนและหญ้าสด
เป็นวันฟ้าใสที่อากาศดีอีกวัน
ในหมู่บ้านครึกครื้นจอแจต่างจากความสงบยามปกติ ทุกแห่งหนมีคนกำลังเคาะฆ้องตีกลอง ตุ้มแช่ๆ เต็มไปหมด ผู้คนตะโกนร้องไปทั่ว “เริ่มแล้ว เริ่มแล้ว การแข่งหมาของหมู่บ้านต้าฮวางจะเริ่มแล้ว มาดูหมาดุที่สุด…ต้าชุนแข่งรอบตัดสินกับหมาอ้วนที่สุด…เฝยหลง แทงแล้วห้ามถอน ยกมือแล้วซื้อขาด ใครจะเดิมพันอีกไหมเอ่ย!”
เสียงฆ้องกลองผ่านไปถึงบ้านใหญ่ที่สุดของหมู่บ้านยิ่งส่งเสียงดัง
โครม!
ในที่สุดเสี่ยวชีทนไม่ไหวจึงปิดหน้าต่างอย่างแรง มองดูชิวเยี่ยไป๋ที่กำลังเขียนจดหมายกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้งว่า “ข้าว่านะคุณชายสี่ ท่านมัวแต่ปล่อยให้ไอ้พวกต้าจ้วงกับชวนจื่อเที่ยวตีฆ้องตีกลองวันๆ แหกปากไปทั่ว เมื่อคืนจนยามสามถึงเงียบลง ทำตัวเหมือนพวกกวักวิญญาณไม่ยอมให้คนอยู่มีชีวิตด้วย!”
ชิวเยี่ยไป๋เป่าจดหมายในมือให้หมึกแห้งเร็วหน่อยพลางกล่าวอย่างไม่สนใจว่า “ข้ารับปากพวกเขา ถ้าพวกเขาผ่านการพิจารณารอบสอง จะปล่อยให้พวกเขาแข่งหมา จะได้ผ่อนคลายกันบ้าง”
เสี่ยวชีอึดอัด “คุณชายสี่ขอรับ ท่านก็ช่างวุ่นวายจริง ทดสอบอะไรกัน ยอดฝีมือของสำนักหอซ่อนกระบี่ของเราตั้งมากมายฝึกวิชาตัวเบาและสอนวิทยายุทธ์ให้พวกเขา มิใช่จะให้พวกเขานำไปจรรโลงการขโมยไก่กัดหมานะขอรับ ท่านมิรู้หรือว่าฉินอวิ๋นกับถังจู่หลายคน ทุกครั้งที่ทดสอบฝีมือพวกหยิบหย่งแทบจะกระอักเลือด!”
เขารู้ดีอยู่แล้วว่าเจ้านายของตนเป็นคนไม่ชอบทิ้งไพ่ตามกติกา แต่คราวนี้ไม่เป็นโล้เป็นพายไปหน่อยจริงๆ!
คุณชายสี่ให้ยอดฝีมือของตนเองจำนวนไม่น้อยทำการฝึกสอนคนหยิบหย่งของกองคั่นเฟิง เดิมทีทุกคนรู้สึกว่าการอบรมคนพวกนี้แม้จะไม่ง่าย ถึงอย่างไรพวกกองคั่นเฟิงส่วนมากก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว กระดูกและเส้นชีพจรแข็งแล้ว
แต่ในเมื่อพวกเขาเป็นอาจารย์ บวกกับเจ้าสำนักบอกไว้แล้ว ถ้าใครสอนลูกศิษย์ได้ดี เจ้าสำนักจะประทานรางวัลกับข้าวสามโต๊ะที่เจ้าสำนักลงมือเข้าครัวเอง!
ไม่มีใครในสำนักไม่รู้ฝีมือการทำอาหารของชิวเยี่ยไป๋ รสชาติที่เจ้าสำนักปรุงออกมาน่าสนใจยิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทองเสียอีก จึงย่อมมีคนกระเหี้ยนกระหือรือเตรียมตัวเต็มที่
นึกไม่ถึงว่าการตัดสินของชิวเยี่ยไป๋ทำเอาทุกคนแว่นตกแตก นอกจากให้พวกหยิบหย่งต้องทุบน้ำปีนเขานั่งฝึกกำลังภายในทุกวันซึ่งเป็นการฝึกพื้นฐานแล้ว ยังขอให้พวกยอดฝีมือของหอซ่อนกระบี่มาสอนวิทยายุทธ์ที่แต่ละคนเชี่ยวชาญให้พวกหยิบหย่งอย่างละเอียดที่สุดด้วย และมิได้นำพาให้จะต้องฝึกท่าฝ่ามือหรือหมัดมวยที่จำเพาะเจาะจงให้ได้ เพียงให้สามารถป้องกันตัวและวิ่งหนีได้ ต่อให้เป็นการฝึกท่าร่างพวกหมามุดรูได้เร็วก็ยังดี
บรรดายอดฝีมือแม้จะรู้สึกว่าคนที่หอซ่อนกระบี่ฝึกออกมา เอาแต่ลูกไม้หมามุดรูและวิ่งหนีออกจะฝืนใจเกินไป แต่ยังคงทำเป็นเข้าใจและสอนตามความเหมาะสมของผู้เรียน
ต่อมา ชิวเยี่ยไป๋ยังอุตส่าห์อาศัยสายสัมพันธ์เชื้อเชิญพวกยอดคนในยุทธจักรที่เหมือนมังกรเทพยดาที่เห็นเศียรมิเห็นหางออกมาช่วยฝึกพวกหยิบหย่งด้วย คราวนี้เลยสารพันมีไปทุกอย่าง
ทั้ง ‘กรงเล็บเงินทอง’ ‘ข้ามถ้ำเซียน’ ‘ผู้เฒ่าทะลุฟ้า’ ‘เซียนพนัน’…สรุปแล้วแค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นนักเลงหัวไม้อันดับเก้าของยุทธจักร
กรงเล็บเงินทองคือมหาโจรระดับสูงสุด ข้ามถ้ำเซียนคือมหาโจรที่ชำนาญการเจาะรูปลิดบุปผา ว่ากันว่าเกือบขโมยเอาสนมขององค์จักรพรรดิด้วยซ้ำ ส่วนเฒ่าทะลุฟ้าคือคนที่ใช้วิชาตบตาปลอมตัวเป็นเซียนหลอกเงินชาวบ้าน เซียนพนันยิ่งไม่ต้องพูดถึงแน่นอน ถ้าเล่นพนันแล้วขี้โกงจนเลื่องชื่อจะถูกยุทธจักรออกคำสั่งไล่ล่า แม้แต่คนเลี้ยงม้าหัวปีศาจที่เจาะจงขโมยม้าชั้นดีของสำนักงานใหญ่ต่างๆ จนเหม็นคลุ้งก็เชิญมาด้วย…เอาคนพิสดารสารพัดพวกนี้มาสอนพวกหยิบหย่ง
นี่ก็ทำเอาคนของสำนักหอซ่อนกระบี่ได้ประจักษ์ว่า ครานั้นที่ชิวเยี่ยไป๋ติดตามเซียนเฒ่าเจ้าสำนักคนก่อนท่องยุทธจักร มีการคบหากว้างขวางเพียงใด
บรรดาคนหยิบหย่งไปเลือกเรียนวิชาจาก ‘คนขั้นเทพ’ ตามความสนใจของตนเอง ต้องเชี่ยวชาญในวิชาใดวิชาหนึ่งและเรียนควบอีกหลายวิชา แต่หลังเลือกเรียนแล้วต้องเข้าร่วมการทดสอบวิชานั้นๆ โดยถือคะแนนวิชาหลักเป็นสำคัญ คะแนนวิชาเลือกเป็นคะแนนเสริม ทุกครั้งคนที่รั้งท้ายสามอันดับคือไม่ผ่าน