เฟิงหนูหลุบตาลงกล่าวเนือยๆ ว่า “เดิมทีที่รับใช้ใกล้ชิดท่านราชครูมีแต่เสวี่ยหนูกับเย่ว์หนู ข้าน้อยกับฮวาหนูก็แค่ยกน้ำชารินน้ำเป็นบางครั้งเท่านั้น เข้าไปตำหนักในของท่านราชครูน้อยมาก จะว่ารับใช้ใกล้ชิดที่ไหนกัน”
นางหยุดลงเล็กน้อย “ตอนนั้นเสวี่ยหนูบาดเจ็บเล็กน้อย พักฟื้นอยู่หลายวันจึงค่อยยังชั่ว วันนั้นก็แค่เสวี่ยหนูหน้ามืดชั่วขณะ ถึงได้ทำการล่วงเกินต่อท่านราชครู บัดนี้สุขภาพดีขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรราชครูกับนางก็ผูกพันกันมาสิบกว่าปี ราชครูต้องคำนึงถึงบ้าง การให้นางได้รับใช้อีกครั้งก็ไม่แปลก”
ต่งหมัวมัวฟังแล้วขมวดคิ้ว “เสวี่ยหนูเหิมเกริมขึ้นทุกที ถือดีว่าตนเองงดงามจึงทำเรื่องที่ไร้ยางอายเช่นนั้น ยังไม่รู้จักเจียมตัวอีกหรือ เฟิงหนู ในสี่ผู้รับใช้เทวะเจ้ามีฐานะสูงสุด ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้ลูกน้องยวนสวาทขี่บนหัวของราชครู”
เฟิงหนูฟังแล้วเงียบไปพักใหญ่ ยกกาน้ำชาขึ้นรินให้ตนเองถ้วยหนึ่ง “เสวี่ยหนูประทานโดย
หยวนเติงซือไท่ เย่ว์หนูพระราชทานโดยพระพันปี พวกนางสองคนรับใช้ใกล้ชิดราชครูก็เพียงพอแล้ว จะไปทำให้หยวนเติงซือไท่ไม่สบายใจทำไมกัน”
เสวี่ยหนูปีนขึ้นเตียงราชครู เป็นคนไร้ยางอาย แล้วนางเล่า พระพันปีก็หวังว่านางจะสามารถปีนขึ้นเตียงราชครูมิใช่หรือ
ต่งหมัวมัวมองดูท่าทางไม่อาทรต่อความโปรดปรานหรืออดสูของนางก็อดเรียกชื่อเดิมของนางมิได้ “เยี่ยนจื่อ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนที่พระพันปีเลี้ยงจนโต ย่อมไม่เหมือนคนอื่น หากมิใช่ไม่อยากผิดใจกับเจ้าสำนักเจินเหยียนกง ก็ให้เย่ว์หนูลงมาก็ได้ ในใจของพระพันปีตั้งใจจะให้เจ้ารับใช้ราชครูอยู่แล้ว”
เยี่ยนจื่อเฉลียวฉลาดแต่เล็ก เป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กหญิงตระกูลตู้ที่พระพันปีคัดเลือกเข้าวังแต่เก่าก่อน เดิมทีตั้งใจว่าเลี้ยงไว้จนโตแล้วจะได้ไปเสริมจำนวนคนในวังหลัง หลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องซ้ำรอยเจิ้นเฟยอาละวาดวังหลังครานั้น
ถึงอย่างไรก็เป็นคนจากตระกูลตู้ รู้ที่มาที่ไป คนในครอบครัวก็ใช้ชีวิตในตระกูลตู้โดยเซ็นสัญญาตายตัว พระพันปีย่อมไม่กลัวว่าพวกนางจะพลิกฟ้าได้
เมื่อมีการคัดเลือกผู้รับใช้เทวะในเวลาต่อมา พระพันปียังคงบัญชาให้เด็กคนที่เฉลียวฉลาดที่สุดไปรับใช้ราชครู จะอย่างไรราชครูก็มีฐานะสูงส่ง ย่อมเป็นประโยชน์มหาศาล ถ้าสามารถควบคุมราชครูไว้ในกำมือได้ จะเป็นประโยชน์ต่อพระพันปีดีกว่าพระสนมหรือสนมเอกคนสองคน
“แต่ไรมาท่านราชครูใจสงบนิ่งไร้ตัณหาจดจ่อแต่พุทธะ หลายปีนี้พวกเราเห็นกับตา ถ้าสามารถอาศัยตัณหาก็ควบคุมราชครูได้จริง เสวี่ยหนูก็คงไม่กระตุ้นจนราชครูโมโหจนเกือบสิ้นชีพแล้ว” เฟิงหนูกล่าวราบเรียบว่า “คนเราล้ำค่าที่การรู้จักประมาณตน”
ต่งหมัวมัวมองดูท่าทางเฉยชาของเฟิงหนู ดวงตาฉายแววรุ่มร้อนและอับจน จึงกล่าวตรงๆ เสียเลยว่า “เยียนจื่อ เจ้าคงมิใช่ยังอยากจะเป็นสนมเอกของใต้ฝ่าพระบาทหรือยกให้พระโอรสองค์ใดกระมัง”
ถึงอย่างไรตอนแรกพระพันปีก็รับปากพวกนางว่าจะให้พวกนางได้ดิบได้ดีมั่งมีศรีศักดิ์นี่นา บัดนี้พวกเด็กหญิงที่เติบโตมาพร้อมกับเยี่ยนจื่อ แต่คุณสมบัติสู้เยี่ยนจื่อมิได้ บ้างก็รับใช้ใต้ฝ่าพระบาทจนได้รับแต่งตั้งเป็นสนม บ้างก็เป็นผู้ที่พระพันปีพระราชทานให้ราชโอรสองค์ต่างๆ ดูแล้วอนาคตน่าจะดีกว่าผู้รับใช้
เทวะที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่และฐานะอีหลักอีเหลื่อเช่นเยี่ยนจื่อถมไป
แต่เยี่ยนจื่อเป็นคนที่พระพันปีระบุให้ต้องบรรลุภารกิจบางประการ ถ้านางไม่มีกะจิตกะใจกับการนี้ พระพันปีคงไม่ปล่อยนางไว้แน่
ต่งหมัวมัวเป็นคนเกิดแต่ตระกูลตู้เช่นกัน บิดาของเฟิงหนูเป็นพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลตู้ และเป็นคนที่มีความสามารถสูงมาก ครานั้นเคยมีสัมพันธ์กับต่งหมัวมัวอยู่ช่วงหนึ่ง แม้ต่งหมัวมัวจะติดตามคุณหนูของตนเข้าวัง ไม่อาจอยู่ร่วมกับชายในดวงใจ แต่มารดาของเฟิงหนูสิ้นไปแต่เนิ่นๆ ตลอดชีวิตของต่งหมัวมัวก็ไม่มีทางมีบุตรของตนเอง จึงถือสายเลือดของคนรักเก่าเหมือนบุตรในอุทร และย่อมรักเยี่ยนจื่อเป็นพิเศษ เกรงว่านางจะมีอันตราย
เฟิงหนูช้อนตางดงาม แลดูต่งหมัวมัวอย่างประหลาดใจ “หมัวมัว ไยท่านจึงคิดเช่นนี้ เยี่ยนจื่อในสายตาของท่าน เป็นคนไร้สติหรือ”
ต่งหมัวมัวเห็นสีหน้าท่าทางของเยี่ยนจื่อไม่เหมือนเสแสร้ง จึงรู้สึกประโลมใจบ้างกล่าวว่า “หมัวมัวย่อมรู้ดี เพียงแต่นิสัยเด็กน้อยเจ้าออกจะเงียบจนเกินไปเหมือนบิดาเจ้า ทำให้ผู้คนเดาไม่ออกว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”
นางหยุดเล็กน้อย พลันกล่าวอย่างลังเลว่า “เยี่ยนจื่อ เจ้าคงมิใช่ติดตามท่านราชครูนานวันจนเริ่มถือศีลกินเจสงบจิตสงบใจตัดตัณหา…อยากออกบวชกระมัง”
เฟิงหนูหลุบตาลงกล่าวราบเรียบว่า “หลังบ่าวออกจากบ้านตระกูลตู้แล้ว ก็รู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตนี้มิใช่ของตนเอง เพียงแต่บ่าวมีความรู้จักประมาณตนเท่านั้น เรื่องบางอย่างคงต้องเป็นไปตามครรลองธรรมชาติ เสวี่ยหนูมิใช่คนโง่ ต่อหน้าพวกเรานางอาจเหิมเกริมอยู่บ้าง แต่อยู่ต่อหน้าราชครูสงบเสงี่ยมว่านอนสอนง่ายมาตลอด นางสามารถรับใช้ใกล้ชิดท่านราชครูนานปีขนาดนี้ สุดท้ายท่านราชครูก็มิได้ยั้งมือ ถ้าเป็นบ่าวฝืนจะเอาให้ได้ บ่าวจะถือดีอะไรว่าจะลงเอยดีกว่าเสวี่ยหนู”
ต่งหมัวมัวมองดูท่าทางของเฟิงหนูก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันยื่นมือดึงมือนาง จ้องนางตรงๆ กล่าวว่า “เยี่ยนจื่อ เจ้าบอกต่งหมัวมัว เจ้าเคยเห็นท่านราชครูไม่ค่อยปกติใช่หรือไม่”
แม้ต่งหมัวมัวพอจะรู้อยู่บ้างว่าคำสอนที่เจินเหยียนกงเทิดทูนมิใช่คำสอนของศาสนาเปิด บางครั้งมักทำเรื่องที่ทารุณและคาวเลือดอย่างสุดแสน และพอจะรู้มาบ้างว่าหยวนเจ๋อพุทธะมีชีวิตองค์นี้มือเคยเปื้อนเลือด ถึงอย่างไรผู้อยู่เบื้องบนไม่ยั้งมือต่อผู้ล่วงเกินตนก็เป็นเรื่องปกติที่สุด
แต่หลายปีนี้ ต่อหน้าทุกคน หยวนเจ๋อแสดงออกถึงความสงบและมุ่งสู่ธรรมะ ราวกับบัวขาวที่เกิดแต่โคลนตมโดยมิแปดเปื้อน ไม่เคยข้องแวะกับราชการแม้แต่น้อย และไม่เหมือนราชครูคนก่อนที่ให้ความสำคัญกับอำนาจราชศักดิ์ คิดแต่จะกุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือ กลับนั่งภาวนาทั้งวัน ซ้ำยังกลับไปนั่งกรรมฐานยาวนานระยะหนึ่งในจิ้งเทียนฝูตี้ ถ้ำน้ำตกภูเขาหลังเจินเหยียนกงเป็นประจำทุกปี
พระพันปีกลับรู้สึกว่าคนที่ไร้ความอยากไร้ความต้องการเช่นนี้กลับจะเป็นคนที่ควบคุมได้ยาก ตอนราชครูเพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งใหม่ๆ ยังนับว่าโอนอ่อนผ่อนตามพวกนางอยู่ แต่หลายปีนี้ พระพันปีตั้งข้อเรียกร้องซ้ำยังขอให้หยวนเติงซือไท่ร้องขอด้วย แต่ราชครูใช่ว่าจะสนอง บางครั้งกลับใช้หลักธรรมตักเตือนพวกนางให้รู้ว่าอย่าคิดว่าตนเองฉลาดเกินไป
นี่ทำให้พระพันปีผู้เคยชินกับการควบคุมทุกอย่างรู้สึกไม่สบายพระทัย จึงยิ่งหวังว่าจะได้ควบคุมจุดอ่อนของราชครู
ถึงอย่างไรราชครูก็เป็นบุรุษ วีรบุรุษยากจะฝ่าด่านโฉมงาม
ดังนั้นพระพันปีกับหยวนเติงซือไท่จึงได้คัดเลือกคนงามอย่างพิถีพิถันให้ไปอยู่ข้างกายราชครู เผื่อว่านอกจากการสอดส่องแล้วยังอาจมีคุณประโยชน์อื่น
บัดนี้ดูสีหน้าของเฟิงหนูแล้ว หรือว่านางผู้เฉลียวฉลาดได้พบเห็นความผิดปกติของราชครู
ต่งหมัวมัวมองดูเฟิงหนูอย่างข้องใจ
เฟิงหนูมีหรือจะไม่รับรู้ถึงสายตาของต่งหมัวมัว ดวงตาของนางที่หลุบอยู่ฉายประกายเย็นเยือกแวบหนึ่ง
นางมิใช่หญิงใจเพชรที่จิตใจสูงส่งแต่อย่างใด รับใช้เจ้านายแบบนั้นมาตั้งแต่เล็ก ย่อมเคยมีจิตปฏิพัทธ์ต่อราชครูผู้มีรูปโฉมงดงามจนน่าตกใจและอุปนิสัยนุ่มนวล อีกทั้งเคยรับใช้ใกล้ชิดอย่างแข็งขัน
แต่ยิ่งอยู่ในเจินเหยียนกงนานเท่าใด นางก็ยิ่งกลัวคนในนั้น โดยเฉพาะคืนหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน ราตรีที่ฝนตกฟ้าร้องนั้น นางได้เห็น…เห็นราชครูอีกคน นางไม่มีวันลืมราตรีที่เหมือนนรกนั่น ลืมไม่ลงฝันร้ายทุกค่ำคืนเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่บัดนั้น