เจ้าเตี้ยฝืนยิ้ม ทำทีให้เขาดูอ่างในมือ “เจ้าดูสิ…”
เด็กรับใช้ที่ยกน้ำชาก้มลงดู ในอ่างล้วนเป็นจานชามและถ้วยสุราที่แตกละเอียด เขาเลิกคิ้วแต่ไม่รู้สึกแปลกใจ “คุณชายเทียนฉีอาละวาดอีกแล้วหรือ คราวนี้เป็นแขกผู้สูงศักดิ์คนไหนตอแยเขาล่ะ”
เจ้าเตี้ยฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “จะไปมีใคร ก็เจ้านายอำเภออู่หยางนั่นอย่างไรเล่า ดันเปลื้องเสื้อผ้าตอนคุณชายกำลังเดินหมากรุก กระทบต่อสมาธิคุณชายเลยถูกคุณชายเทียนฉีตะเพิดออกไป”
เด็กรับใช้ยกน้ำชาตะลึง “นายอำเภอนั่นกำลังจะวิวาห์มิใช่หรือ”
เจ้าเตี้ยกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ไอ้พวกที่มาที่นี่มีใครบ้างที่ดูแล้วไม่เป็นจริงเป็นจังหรูหราโอ่อ่า”
เด็กรับใช้สองคนสะทกสะท้อนพักใหญ่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานของตน
แต่ตอนเด็กรับใช้ยกน้ำชาเลี้ยวที่มุมกำแพง พลันรู้สึกมีเงาดำสั่นไหวเบื้องหน้า จากนั้นเขาก็หน้ามืดเข่าอ่อนล้มลง ถาดในมือตกใส่พื้น
แต่กลับมีมือขาวผ่องข้างหนึ่งรับไว้ และแล้วเจ้าเด็กรับใช้ก็ถูกคนพยุงไปซุกกับมุมกำแพง ดูแล้วเหมือนขี้เกียจแอบมานอนหลับ
“ก๊อก ก๊อก…” เสียงเคาะประตูสองครั้ง จากนั้นก็มีเสียงประตูเปิด แอ้ด
เทียนฉีกำลังเปลือยกายท่อนบนเผยให้เห็นรูปร่างงดงาม มือหนึ่งเปิดหน้าต่าง อีกมือถือเสื้อที่ถอดออกโบกกลางอากาศ คิดจะไล่กลิ่นแป้งเครื่องหอมที่น่าชังออกไป แต่กลิ่นเย้ายวนที่เข้มข้นชวนให้เขาปวดศีรษะ ดังนั้นพอประตูดังขึ้น เขาจึงปาเสื้อในมือใส่คนที่เพิ่งเข้ามาทันที กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “บรรพบุรุษเจ้าเถิด เคาะหาอะไร ไปบอกหลี่หมัวมัว คืนนี้ข้าไม่ให้ใครค้าง พรุ่งนี้ไม่พบแขก มะรืนก็ไม่พบแขก!”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ เป็นอะไรไป เจ้าไม่สบายหรือ” เสียงเย็นเยือกกลั้วยิ้มดังขึ้นที่ประตู เสียงกลั้วหัวร่อนั้นเทียนฉีฟังแล้วช่างคุ้นเคยอย่างยิ่ง ราวกับเสียงไข่มุกกระทบหยกที่ชัดเป็นพิเศษในราตรียามดึก สดใสและเย็นชา
“เย่…คุณชายสี่” เทียนฉีมองไปที่ประตู แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
ดึกดื่นค่อนคืน เจ้าผู้ต้องหาอันดับหนึ่งของแผ่นดินที่ถูกประกาศจับกำลังยืนที่ขอบประตู ใบหน้านวลผ่องดุจหยกยิ้มแย้ม ยืนตัวตรงราวแท่งหยก ในมือยังประคองถาดใบหนึ่ง
เทียนฉีขยี้ตา ร้องเสียงแหลมอย่างอดมิได้ “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าบ้าไปแล้วใช่ไหม…”
แต่ท่อนหลังของประโยคเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคนจับแขนไว้แน่นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบแล้วทุ่มใส่ตั่งที่อยู่ด้านข้าง ลำคอถูกศอกข้างหนึ่งเค้นไว้มิเบามิพัก พอดีกับถ้าเขาส่งเสียงกดลงไปก็จะพูดไม่ออก
“ชู่! เงียบ อย่าพลุ่งพล่านขนาดนี้ ข้าไม่ยักรู้ว่า เทียนฉี เจ้าจะคิดถึงข้าขนาดนี้” ชิวเยี่ยไป๋ทับตัวคนงามผู้ใจร้อนไว้ คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มใช้นิ้วแตะริมฝีปากเขา แต่แววตาของนางหามีรอยยิ้มไม่
“มารดามันเถิด ใครคิดถึงเจ้า…หน้าด้าน!” เทียนฉีเขม้นใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างดุร้าย ไม่ชอบเลยกับความรู้สึกเหมือนกบถูกจับนอนหงายเช่นนี้ แถมหลังยังกระแทกกับพื้นตั่งจนปวดตุบ
ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “อ้อ ข้าชักเสียใจ ข้าคิดถึงพวกเจ้ามากนะเทียนฉี”
เทียนฉีรู้สึกว่าปลายนิ้วเรียวยาวนุ่มเนียนของนางกำลังเคาะริมฝีปากของตนอย่างเกียจคร้าน ดวงตากลมโตสดใสและคมกริบฉายแววสับสนแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปกปิดด้วยการเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างเย็นชา “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ทำไมยังกล้ากลับมา ไม่รู้หรือว่าทั่วเมืองหลวง ไม่ ทั่วอาณาจักรกำลังตามจับเจ้า!”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “อืม เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงกลับมา”
“รู้แล้วเจ้าไม่หนี ยังกลับมาอีก เจ้าอยากตายหรือไร หรือคิดว่าสักวันจะเป็นผีเหมือนข้า!” เทียนฉีตะลึงและหันศีรษะกลับมาคำรามเบาๆ ใส่ใบหน้าที่มิอาทรร้อนใจอย่างอดมิได้ โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
เขาทนไม่ได้ที่เห็นท่าทางมินำพาของนางราวกับไม่รับรู้มาก่อนว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่อยากเห็นจริงๆ!
ชิวเยี่ยไป๋ดันศอก กดเทียนฉีที่พลุ่งพล่านดิ้นรนพยายามจะลุกขึ้นให้นอนลงอีกครั้ง มองเขาจากด้านบนเลิกคิ้วกล่าวว่า “เทียนฉี เจ้าเป็นห่วงข้า เป็นห่วงว่าข้าจะมีสภาพเหมือนเจ้าหรือ”
เทียนฉีตัวแข็งไม่พูด
นางมองดูใบหน้าที่ชาด้าน กล่าวช้าๆ ว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าแค้นจนอยากให้ข้าเหมือนกับเจ้าเสียอีก นั่นถึงจะถูก”
นางปฏิบัติกับเขาไม่ดีนักแต่ก็ไม่เลว เพียงทำตามมนุษยธรรมเท่านั้น
แน่นอน หลายปีนี้เทียนฉีก็มิได้ให้โอกาสนางได้ทำดีต่อเขาเลย ทุกครั้งที่เขากับนางพบหน้ากันล้วนเป็นฟืนเป็นไฟ นิสัยใจร้อนของเขาเหมือนหงส์ไฟน้อย…ที่ไม่มีวันเชื่องตลอดกาล
มีผู้กล่าวว่า หงส์ที่ตกพื้นยังสู้ไก่มิได้ แต่คนอย่างเทียนฉีต่อให้โดนนางถอนขนจนหมด เขาจะยังคงยืนกรานในความทระนงในศักดิ์ศรีของหงส์
เทียนฉีเงียบไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งรู้สึกว่าถ้าไม่ได้คำตอบ คนที่ทับบนตัวไม่ปล่อยตนแน่ จึงกล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเหมือนข้า แม้เจ้าจะต่ำช้า ไร้ยางอาย ดุร้าย เลวทราม เห็นแก่ตัวและไม่มีอะไรเหมือนสตรีเลย แต่…”
เขาหยุดลงเล็กน้อย แลดูนางด้วยสายตาเหม่อลอย กล่าวเสริมเบาๆ ว่า “แต่เจ้าเป็นตัวของตัวเอง เจ้ามีอิสรเสรี ในวัยเด็กอาจารย์เคยสอนข้าอ่าน…เมฆเคลื่อนดาวคล้อย ลมเย็นจันทร์กระจ่างส่องผู้มา…แวบแรกที่เห็นเจ้า ข้าก็คิดว่าโศลกนี้น่าจะพูดถึงคนเยี่ยงเจ้าประมาณนี้”
ดังนั้น ต่อให้เขาชังนาง แต่ก็ไม่เคยคิดอยากให้นางเป็นเหมือนเขา ที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างอัปยศอดสู เฝ้ารักษาศักดิ์ศรีอันน่าขันอย่างต่ำต้อย แม้พวกเขาจะมีชื่อต่อจากคำว่าคุณชาย หรือเลือกแขกได้เองก็ตาม
แต่มิได้เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ว่าใครจ่ายเงินได้มากพอก็ได้ไป ได้ครอบครองและล่วงละเมิดพวกเขา
“หากเจ้าต้องมาสกปรกเช่นนี้ มิสู้ตายไปเสียจะดีกว่า!” เทียนฉีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกเคียดแค้น พอจบประโยคก็หยุดปากทันที
จากเงาสะท้อนในดวงตาคู่งามดำขลับของชิวเยี่ยไป๋ เขาเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกของตนเอง
ชิวเยี่ยไป๋ก้มต่ำลงมองดูใบหน้านั้น ใบหน้าที่งดงามและบิดเบี้ยว ทำให้แววตาเย็นชาของนางพลันอ่อนลงเล็กน้อยและหัวร่อเบาๆ
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เจ้าหงส์ไฟน้อยตัวนี้ยังคงทระนงเช่นนี้ และเนื่องจากได้รับความอัปยศและอับจนใจมากเกินไป จึงทำให้เขานำความอับจนเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นความชิงชังในตัวนาง แต่กลับไม่อยากเห็นนางที่เคยแข็งกร้าวต้องกลายเป็นเหมือนตัวเขา ถูกบีบคั้นด้วยอำนาจราชศักดิ์ สูญเสียอิสรเสรี ถูกผู้คนเหยียบย่ำตามอำเภอใจ
ในใจของเขา นางคือเงาสะท้อนของอิสรเสรีและศักดิ์ศรีที่เขาเลื่อมใสและอิจฉา เขาเองอาจไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อครู่จึงเห็นนางเป็นศัตรูคู่แค้น แต่เทียนฉีในขณะนี้คงตระหนักแล้ว ดังนั้นท่าทีจึงพิลึกพิลั่น
ธาตุแท้ของมนุษย์ช่างพิสดารจริงหนอ
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเทียนฉี ประกายในดวงตาดำขลับของเขายามนี้เปลี่ยนจากโกรธแค้น เกรี้ยวกราดเป็นอีหลักอีเหลื่อและงุนงง ซ้ำยังมีประกายของน้ำตาที่รื้นด้วยความคับข้องที่ดูเหมือนเพิ่งจะค้นพบความคิดของตนเอง
ดื้อรั้นและตื่นกลัว