แต่ไรมาชิวเยี่ยไป๋เป็นคนทนไม่ได้ที่จะเห็นคนงามต้องลำบากใจอย่างแท้จริง
นางกล่าวเนือยๆ ว่า “เจ้าวางใจ ไม่หรอก เจ้าจะไม่มีวันเห็นวันนั้นตลอดกาล ต่อให้ต้องข่มขืนอะไรก็ตาม…”
นางหยุดเล็กน้อย มุมปากโค้งขึ้นแทบจะเป็นความเหิมเกริม “นั่นคงเป็นข้าที่ข่มขืนผู้อื่นกระมัง”
ตอนพูดประโยคนี้ เงาร่างสีขาวก็วาบขึ้นในสมองนางอย่างประหลาด ผมสีเงินยวงอันนุ่มสลวยสะอาดงดงาม นัยน์ตาสีเทาเงินซึ่งสงบสุกใสราวผลึกแก้ว ริมฝีปากแดงเรื่อบางเฉียบ องค์เอวได้สัดส่วน…
แววตาของนางตะลึงเล็กน้อย
จนกระทั่งเทียนฉีเหลือกตาเกรี้ยวกราดใส่นางอย่างอดมิได้ “ข่มขืน…มารดามันเถิด เจ้าทำตัวเหมือนสตรีสักหน่อยมิได้หรือ”
เทียนฉียากจะจินตนาการจริงๆ ว่า สตรีที่ยังไม่ออกเรือนกล้าพูดปาวๆ ว่าจะข่มขืนบุรุษ!
ต่อให้เป็นพวกแขกสตรีที่เขาเคยต้อนรับ นายอำเภออู่หยางผู้ไร้ยางอายที่สุด ก็แค่กล้าถอดเสื้อครึ่งท่อนอิงกับเขาถูไปถูมาเท่านั้น
ชิวเยี่ยไป๋ร้องเชอะเบาๆ เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ก่อนหน้านี้ เจ้าว่าข้าไม่ใช่สตรีมิใช่หรือ”
เทียนฉีสะอึกแล้วหน้าแดงก่ำกล่าวว่า “แต่เจ้าเป็นสตรีชัดๆ ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น!”
คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋ได้สติแล้ว ก้มมองเทียนฉี ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “ไม่ผิด ข้าเป็น เจ้าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคนอื่นกระมัง”
สามปีก่อน วิทยายุทธ์ของนางยังมิได้สูงล้ำเช่นปัจจุบัน หลังดื่มสุรากับผู้อื่นแล้วก็เผลอตัวไปหน่อย เข้าผิดห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นึกไม่ถึงว่าบังเอิญถูกเทียนฉีเห็นเข้า
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร ข้าบอกว่าไม่พูดก็ไม่พูดเด็ดขาด ข้ารู้ดีว่านี่เป็นชนักของเจ้า!” เทียนฉีเหลือกตาใส่นางอย่างรำคาญ แต่ร่างกายขยับได้เพียงเล็กน้อยอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
มิรู้ว่าเพราะอะไรจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้…เขาพลันรับรู้อย่างเฉียบไว ร่างกายที่ทับไว้จนตนเคลื่อนไหวมิได้นี้แม้จะสูงโปร่ง แต่เทียบกับบุรุษแล้วยังคงนุ่มนิ่มกว่ามาก ซ้ำร้ายเขายังรู้สึกว่าลักษณะเอวที่ทับท้องตนเองอยู่เล็กอ้อนแอ้นกว่าของตน
ยังมีลมหายใจที่เบาบางเหมือนหญ้าหางจิ้งจอกอันอ่อนนุ่ม กวาดผ่านผิวที่ลำคอ พริบตานั้นเทียนฉีรู้สึกขนลุกซู่ตรงนั้น
เขากับนางไม่เหมือนกัน
ทว่า เห็นได้ชัดว่าชิวเยี่ยไป๋ดูเหมือนไม่รู้ตัว
นางชินกับการทำตัวเป็นบุรุษเพศ ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าตนเองที่เป็นสตรีแท้ๆ มาทับอยู่บนร่างบุรุษที่ท่อนบนเปลือยเปล่าเช่นนี้มันเป็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง
เทียนฉีพลันนึกถึงตอนเข้าหอใหม่ๆ ไม่มีใครกำราบเขาได้ ชิวเยี่ยไป๋จึงลงมือสั่งสอนเอง เอะอะก็จับเขาแก้ผ้าแขวนไว้ ทำเอาเขาทุกข์ทรมานกับความคิดที่ว่าสักวันหนึ่งเจ้าของหอต้องจับเขาเปิดบริสุทธิ์แน่ นึกแล้วโทสะก็พุ่งขึ้น
ไอ้สารเลวนี่ถ้ารู้จักคิดว่านางเองเป็นสตรีสักนิด ก็คงไม่ทำเรื่องเช่นนี้!
“เจ้าลุกขึ้น!” เทียนฉีรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าตนเองที่อยู่ในท่ากบหงายท้องเช่นนี้แสดงถึงความ ‘อ่อน’ ของตนเอง จึงอดตวาดหน้าคล้ำมิได้
แม้ในความเป็นจริงเขาจะอ่อนแอกว่านางอยู่มากก็ตาม
ชิวเยี่ยไป๋แลดูสารรูปเทียนฉีก็หัวร่อ ไม่ทรมานอะไรเขาอีก ปล่อยมือแล้วพลิกตัวลุกขึ้น
เทียนฉีถูกทับจนคันในลำคอ แขนกับต้นขาเจ็บเล็กน้อย เขาจับเตียงตั่งค่อยๆ ลุกขึ้นและกระชากเสื้อคลุมบนร่าง กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเข้าผิดห้องหรือ เทียนซูเป็นเพื่อนคุณชายใหญ่เสมียนผู้ช่วยกรมราชทัณฑ์ไปไหว้พระที่วัดถานเซียงตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ห้องของเทียนฮว่ากับเทียนฉินก็ไม่อยู่ฟากนี้นะ!”
ต่อให้นางเสี่ยงกลับมาพาคนไปด้วย ก็น่าจะเป็นเทียนซูเพื่อนชายผู้รู้ใจต่างหาก หรือไม่ก็เป็นเทียนฮว่าเทียนฉิน หรือต่อให้เป็นพวกหลี่หมัวมัวก็ช่าง แต่..ไม่น่าจะเป็นเขา
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขายิ้มน้อยๆ “ข้าไม่ได้มาหาเทียนซู เทียนฮว่า หรือเทียนฉิน ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
เทียนฉีงงงันแล้วเลิกคิ้ว “เจ้าผีเข้าหรือ จะให้ข้าช่วยเจ้า ข้าไม่ฉวยโอกาสทุ่มหินใส่ตอนเจ้าตกบ่อให้เจ้าตายไปก็บุญแล้ว”
ทำไมชิวเยี่ยไป๋ออกไปพักเดียวถึงกลายเป็นบ้าบอเช่นนี้
ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจ เอื้อมมือเกาะบ่าเขา ยื่นหน้าเข้าใกล้ “เทียนฉีเอ๋ย เจ้าคิดว่าหลังเจ้าสารภาพเมื่อครู่แล้ว ข้ายังจะเชื่อคำขู่ของเจ้าอีกหรือ”
เทียนฉีฟังแล้วรีบหวนคิดถึงคำพูดของตนก่อนหน้านี้ ใบหน้าอันสวยสดแดงระเรื่ออย่างน่าสงสัยในพริบตา เบิ่งตามองดูชิวเยี่ยไป๋ที่ฟุบอยู่กับตนเหมือนคู่ซี้อย่างเกรี้ยวกราด “มารดามันเถิด ใครสารภาพกับเจ้า หน้าไม่อาย!”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาลดเสียงลงด่าตน แต่มิได้สะบัดมือนางออกก็นึกหัวร่อในใจ “เจ้ารู้ตั้งแต่วันแรกมิใช่หรือว่าข้าไร้ยางอาย มาเรามาพูดธุระกันดีกว่า”
เทียนฉีมองดูนางอย่างยากจะเข้าใจ คนผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่ ถึงกับทำหน้าตาเฉยมาพูดกับตนที่เคยถูกนางย่ำยีรังแก
ราวกับว่าเขาเป็นคนที่นางเชื่อใจที่สุด
แต่มิรู้เพราะอะไร คำว่า ‘คนที่นางเชื่อใจที่สุด’ พลันทำเอาเขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดพิกล ทำให้เขานั่งตัวเกร็งอย่างเรียบร้อยโดยไม่รู้ตัว มองดูนาง กระแอมคำหนึ่งกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พูด”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูคนงามใจร้อนเย่อหยิ่งที่อยู่เบื้องหน้าแต่มิอาจปกปิดความได้ใจเล็กน้อยในแววตา ก็นึกขันอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่นางยังคงกลั้นไว้ เวลานี้ถ้าหัวร่อออกมา หงส์ไฟตัวนี้มีหวังบินขึ้นมาใช้กรงเล็บข่วนเอาแล้ว
นางชะโงกเข้าใกล้เทียนฉี กระซิบข้างหู “…”
เทียนฉีเป็นคนฉลาด เขารับรู้อย่างรวดเร็วถึงเจตนาของทุกเรื่องที่ชิวเยี่ยไป๋ให้เขาทำ
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ชิวเยี่ยไป๋จัดแจงเรื่องที่ต้องเตรียมการเสร็จสรรพ ก็นำป้ายคำสั่งที่พกติดตัวให้เทียนฉีอันหนึ่ง “พวกหลี่หมัวมัวเป็นคนของข้า วันหลังมีอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ หรือต้องการคำปรึกษาให้หา
หลี่หมัวมัวก่อน
เทียนฉีรับป้ายคำสั่ง เป็นป้ายทำด้วยหยกเขียวที่ประณีตบรรจง บนนั้นสลักอักษรตัวเดียว ‘จู๋’ (ไผ่)
นี่เป็นป้ายประกาศิตเจ้าของหอ เมื่อมีของสิ่งนี้ เขาจะสามารถใช้สอยใครก็ได้ในหอไผ่เขียวเวลาใดก็ได้รวมทั้งเงินทองใดๆ ด้วย
เขามองดูของในมืออย่างไม่เชื่อสายตาแล้วมองชิวเยี่ยไป๋สีหน้าสับสน “ทำไมจึงเป็นข้า”
ถ้าคนคนนั้นเป็นเทียนซูเขายังเข้าใจได้
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขากล่าวช้าๆ ว่า “เทียนฉี เจ้าเกิดแต่ตระกูลเจี่ยง มีความทระนงของทหารแต่กำเนิด แม้แต่อยู่ในเงื้อมมือข้าก็ไม่เคยยอมสยบ เจ้าทระนงยิ่งกว่าใคร ข้าไม่เคยคิดว่าคนอย่างเจ้าจะยอมละทิ้งความทระนงและความยืนหยัดของตนเพราะเหตุผลใดๆ”
เทียนฉีเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลเจี่ยงที่รอดชีวิตเพียงคนเดียว เขาเคยติดตามแม่ทัพใหญ่เจี่ยงเข้าออกสมรภูมิตั้งแต่เล็ก เลือดในกายเป็นเลือดทระนงของทหาร
ตั้งแต่เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดียังไม่ครบสิบสี่เป็นครั้งแรกทั้งตัวมอมแมมด้วยฝุ่นและเลือด ถูกคนคุมไว้ที่มุมอับ ดวงตาที่แดงก่ำเหมือนคบเพลิงดึงดูดความสนใจของนาง รอยแส้ทั้งตัวก็มิอาจบดบังความทระนงของเขาไว้ได้