เขาชะงักแล้วหยิบเศษกิ่งไม้ดอกไม้ใส่ลงในบุ้งกี๋อันหนึ่ง “ค่อยว่ากัน ต่อให้พวกเขารู้ว่าพวกเราเป็นคนทำแล้วจะอย่างไร”
คนของตำหนักเทพ ยังจะมีใครกล้าหือเป็นอริกับค่งเฮ่อเจียนหรือ
อีไป๋นึกดูแล้วรู้สึกเหมือนมีเหตุผล เขาจึงกล่าวว่า “มิรู้ว่าถ้าใต้เท้าชิวกลับมาจะมาพบฝ่าบาทของเราก่อนหรือไม่”
ซวงไป๋กล่าวอ้อยสร้อยว่า “เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ ไปพบกับราชครูน่าจะเป็นไปได้มากกว่า”
อีไป๋แหงนหน้าเหลือบมองยอดตำหนักแวบหนึ่งเหมือนไม่ตั้งใจ กล่าวเสียงดังขึ้น “ถ้าฝ่าบาททรงทราบว่าท่านราชครูเป็นที่ห่วงใยของใต้เท้าขนาดนี้ จะฆ่าท่านราชครูหรือไม่หนอ”
ซวงไป๋สั่นศีรษะถอนใจอย่างเงียบงัน “การเล่นละครกับคนที่ปราศจากพรสวรรค์ แม้จะเล่นเพียงน้อยนิด มันก็ช่างเป็นเรื่องซวยจริงๆ!”
“อีไป๋ จู่ๆ ข้าก็นึกถึงนางหนูที่เข้าคุกมาสามวันแล้วยังไม่ได้อาบน้ำเลย ฟังว่าโวยวายน่าดู เจ้าให้คนเอาน้ำไปให้นางอาบบ้างนะ” ซวงไป๋พลันกล่าว
อีไป๋งงงัน เลิกคิ้วงดงามคราหนึ่ง “เจ้ามิได้ป่วยไข้กระมัง ดึกดื่นป่านนี้จะให้ข้าหาน้ำอาบไปให้นางหนูน้อย หรือเจ้าเห็นว่าต่อไปจะจัดการกับนางอย่างไรก็ยกให้ข้าจัดการอย่างนั้นหรือ”
ซวงไป๋เงยหน้ามองเขา แววตานุ่มนวลและยิ้มอย่างอบอุ่น “ใช่ วันหลังเรื่องจะจัดการกับนางหนูน้อยก็ยกให้เจ้าแล้ว ทำไม ไม่ได้หรืออย่างไร”
อีไป๋ชำเลืองดูใบหน้ายิ้มแย้มนั้น พริบตานั้นก็สยิวกายอย่างหนาวเหน็บ ไม่รู้เพราะอะไรจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่สู้ดี เจ้าซวงไป๋คนนี้ไม่โมโหง่ายๆ แต่เป็นคนประเภทถ้าโมโหขึ้นมาก็น่ากลัวทีเดียว
ทุกครั้งที่เขาเผยรอยยิ้มเช่นนี้มักหมายความว่า ในห้องลงทัณฑ์ต้องมีเคราะห์ร้ายแน่!
แม้อีไป๋จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ยังคงลูบจมูกกล่าวอย่างไม่พอใจ “ได้ ไปก็ไปสิ!”
มิใช่เขากลัวซวงไป๋ ทั้งสองคนถือว่าโตมาด้วยกัน เขารู้ดีกว่าใครว่าเจ้าคนท่าทางเหมือนสตรีคนนี้ถ้าบ้าคลั่งขึ้นมาก็ร้ายกาจกว่าหญิงบ้าเสียอีก และมีแต่ฝ่าบาทเท่านั้นที่สยบ ‘แม่บ้าน’ คนนี้ได้
อีไป๋เพิ่งถึงปากประตู ซวงไป๋ก็เรียกให้หยุด “เจ้ารอสักครู่”
อีไป๋เหลียวกลับอย่างรำคาญ “ทำไม คงมิใช่คิดจะให้ข้าช่วยอาบน้ำให้นางหนูน้อยด้วยกระมัง”
ซวงไป๋มองดูเขาอย่างเย็นชา “ใต้เท้าชิวไปแล้ว”
อีไป๋แหงนมองเพดานห้อง “ข้ารู้ แล้วอย่างไร”
พวกเขาได้รับรายงานจากสายสืบว่าชิวเยี่ยไป๋จะมาที่วัง ดังนั้นเขากับซวงไป๋จึงต้องอดนอน มานั่ง ‘ปักดอกไม้’ เสวนาเรื่องสมัยโบราณถึงปัจจุบันทั้งคืน และแล้วก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง ถ้ามิใช่พวกเขาเตรียมการแต่เนิ่นๆ ประมาณว่าตอนนี้คงไม่รู้ว่าชิวเยี่ยไป๋เคยมาแล้ว
ถึงอย่างไรด้วยวิทยายุทธ์ของชิวเยี่ยไป๋ ถ้าสู้กันตัวต่อตัวก็เหนือกว่าพวกเขาแน่นอน
“ใต้เท้าไปทางตำหนักเทพของท่านราชครูแล้ว ไม่มีเจตนาใดๆ จะมาที่ตำหนักของกวงหมิงของเรา” ซวงไป๋แลดูท่าทางไม่รู้จะทำอย่างไรของอีไป๋ จึงคลึงหว่างคิ้วอย่างอดทน
“ไม่มาก็ไม่มา คงกลับไปนอนแล้วกระมัง” อีไป๋เผลอตัวหาวหวอด
กร๊อบ!
ซวงไป๋หักก้านซ่อนกลิ่นดอกหนึ่งในมือ มือข้างที่คลึงขมับอยู่เส้นเอ็นปูดโปน “เจ้ามันโง่ ตอนนี้ใต้เท้าชิวต้องไปหาราชครูแน่ เจ้าบอกว่าฝ่าบาทจะลงมือกับราชครูมิใช่หรือ ไม่แน่ว่าตอนนี้ใต้เท้าชิวเข้ามาในตำหนักกวงหมิงแล้ว!”
ถ้าใต้เท้าชิวเข้าตำหนักกวงหมิงได้ พวกเขาก็มีข้ออ้างในการพิสูจน์ว่าในสายตาของใต้เท้าไม่มีเขา
คราวนี้ดีแน่ ไอ้โง่อีไป๋ถึงกับผลักใต้เท้าชิวไปที่ราชครูโดยตรง
อีไป๋ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ต่อให้ชิวเยี่ยไป๋ไปหาราชครูแล้วเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างใต้เท้าชิวกับฝ่าบาทเจ้าก็ใช่ว่าจะมิรู้ ถึงอย่างไรคนที่ฝ่าบาทต้องการก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว กังวลไปใยกัน”
ในใจของอีไป๋ ฝ่าบาทของตนคือฟ้า ก็คือเขาคิดอยากได้ใครของสิ่งใด คนคนนั้นและของสิ่งนั้นล้วนต้องเป็นของฝ่าบาท นอกเสียจากว่าฝ่าบาทไม่อยากได้ จวบจนบัดนี้ยังไม่มีอะไรที่ฝ่าบาทอยากได้แล้วไม่ได้เลย
ต่อให้ชิวเยี่ยไป๋กลอกกลิ้งฉลาดกว่านี้ก็หนีไม่พ้นแขนเสื้อวิเศษของฝ่าบาท
ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ทำไมซวงไป๋จึงลากเขามาแสดงละครฉากนี้ที่นี่ สู้เขากลับไปนอนหรือไม่ก็ไปดื่มสุราฟังเสียงอวิ๋นเหนียงของหอชุนเยี่ยนดีดพิณ ยังจะดีเสียกว่าจ่อมอยู่ในตำหนักกวงหมิงครึ่งค่อนคืนอีกอักโข
ซวงไป๋ขึ้นเสียงอย่างอดมิได้ “ถ้าฝ่าบาทจะใช้ไม้แข็งก็คงทำไปนานแล้ว คนอย่างเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่เป็นคนประเภทยอมใครง่ายๆ โดยไม่ขัดขืนหรือ”
แม้เขาอยากเอาแจกันในมือทุบหน้าเกเรของอีไป๋ก็ตาม แต่ยังคงคำนึงถึงเจ้านายของตน จึงยอมกัดฟันทนและกล่าวต่อ “ฝ่าบาทไม่ใกล้ชิดกับผู้ใดแต่ไหนแต่ไร ยากนักที่มีคนเข้าตาของเขา ที่อยากได้ย่อมไม่ใช่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนปลาได้น้ำ หากแต่ต้องการเลี้ยงปลาตัวนี้ไว้ข้างกายตลอดไป กลมเกลียวสุขสันต์ชั่วกาลนาน ถึงได้อุตส่าห์วางแผนอย่างยากเย็นให้ราชครูอยู่ข้างกายใต้เท้า แต่บัดนี้พวกเราต้องทำให้ใต้เท้าชิวเปลี่ยนสายตาไปมองฝ่าบาท!”
ในตาของใต้เท้าชิวมีราชครู ฝ่าบาทจะหึงราชครู เดิมทีฝ่าบาทเป็นเจ้านายที่ชอบนั่งล่างเวทีชมดูละครอยู่แล้ว คราวนี้ถ้ารู้ว่าตัวละครบนเวทีไม่มีเขาอยู่ในสายตา แล้วเกิดไม่พอใจขึ้นมาทำอะไรที่น่ากลัวสะท้านพิภพ พวกเขาที่เป็นคนรับใช้ข้างกายย่อมไม่เป็นสุขแน่
บัดนี้ฝ่าบาทสู้อุตส่าห์เปลี่ยนแปลงสภาพตนเองที่อยู่ในสายตาของใต้เท้าชิวแต่แรก ไอ้โง่อีไป๋ถึงกับเอ่ยถึงราชครู ผลักใต้เท้าชิวไปให้ราชครูตรงๆ ปล่อยให้พวกเขาอดหลับอดนอนครึ่งค่อนคืนอย่างสูญเปล่า นี่มิใช่น่าตายดอกหรือ
คราวนี้ใบหน้างดงามนุ่มนวลอึมครึมของอีไป๋กลับฉายแววครุ่นคิด ครู่หนึ่งเขาจึงกอดอกส่ายหน้าแล้วร้องเชอะเบาๆ เหมือนจนใจ “ซวงไป๋ ที่เจ้าพูดอยู่ค่อนวันก็เพื่อจะบอกว่าฝ่าบาทนึกอยากได้คนที่เขาจะเอาก็เอา หลับนอนกันยาวนานทรมานทรกรรมอย่างไรก็ไม่หนี คนประเภทนี้มีเต็มถนน แต่ที่ต้องตาฝ่าบาทก็มีแค่คนเดียวกระมัง แล้วพูดเสียสละสลวยทำไมกัน ข้าว่านะ วิธีของเจ้าดัดจริตไปหน่อย จับใต้เท้าชิวมัดให้แน่นแล้วโยนเข้าตำหนักหลังเลย ฝ่าบาทขี่จนขาอ่อน ขังไว้จัดการสักสามปีห้าปี เขาโดนฝ่าบาทหลับนอนจนชิน ก็ยอมสยบแล้ว!”
ไม่ต้องสร้างเรื่องราว หลับหูหลับตาทนทุกข์ทรมานตากลมบุปผาจันทราหิมะอะไรทั้งสิ้น เปลืองเวลาเปล่า มีแต่ซวงไป๋นี่แหละถึงคิดเช่นนี้
ก็แค่บุรุษคนหนึ่งนี่นา ใช่ว่าจะเป็นสตรีที่ให้กำเนิดบุตรแก่ฝ่าบาทได้ ต้องพิธีรีตองเพื่อเอาใจขนาดนี้เชียวหรือ
ส่วนลึกในใจของอีไป๋ยังคงหวังว่าฝ่าบาทของตนจะมีทายาท…
ในตำหนักเงียบกริบ…
ซวงไป๋หลับตา พยักหน้าชมเชยว่า “ไม่ผิด ที่เจ้าพูดโคตรมีเหตุผลเลยจริงๆ”
อีไป๋ฉีกปากยิ้มอย่างได้ใจ “เจ้าดูสิ ข้าว่าแล้ว…”
ยังไม่ทันขาดคำ เขาพลันรู้สึกบางอย่างไม่ถูกต้อง นึกดูอีกทีจึงเพิ่งได้คิดว่าซวงไป๋ที่แสนสุภาพเรียบร้อยเหมือนวิญญูชนที่ไม่เคยพูดจาหยาบคายถึงกับหลุดคำหยาบออกมา!
เขาพลันเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าซวงไป๋กำลังใช้แจกันที่เขาเองอุตส่าห์จัดดอกไม้อย่างงดงามทั้งคืนทุ่มใส่ใบหน้าเขาอย่างไม่เกรงใจ