ตะวันคล้อยต่ำ คนกลุ่มสุดท้ายออกจากเสินอู่ถังไปแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ผ่อนคลายเล็กน้อย การพบปะกับคนในซือหลี่เจียนวันนี้หากไม่จัดการให้ดี จะมากหรือน้อยย่อมต้องผิดใจกับบางคน และวันหลังคงทำอะไรไม่สะดวก
วิธีรับมือกระบวนท่านี้นางเลียนแบบมาจากไป๋หลี่ชู เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นของไป๋หลี่ชูจะจับจ้องผู้คนอย่างน่าขนลุกขนพอง ไม่ก็เกรี้ยวกราดเป็นที่สุด ข้อนี้นางไม่สามารถเลียนแบบได้ แต่วันนี้ใช้วิธีนอกกรอบเหมือนท่ากระบี่พิสดาร กลับได้ผลดียิ่งกว่า
ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว เหล่าขันทีที่ส่งสำหรับยังคงเห็นชิวเยี่ยไป๋เหมือนอากาศธาตุเช่นเดิม นางก็ไม่รีบ ของกินล้วนอยู่ในห่อสัมภาระ น้ำดื่มที่ในห้องโถงมีให้
เป็นเช่นนี้จนถึงยามค่ำได้เวลาพักผ่อน บรรดาขันทีรับใช้ในซือหลี่เจียนต่างคิดว่าชิวเยี่ยไป๋ดึงดันมาตลอดวัน น่าจะกลับไปได้แล้วกระมัง ไม่มีใครคิดถึงว่าชิวเยี่ยไป๋ดูเหมือนไม่มีความคิดที่จะกลับไป ล้วงเอาผ้าบางชิ้นและสิ่งของที่ดูเหมือนขดลวดขนาดเท่านิ้วมือออกมาจัดแจงโน่นนี่ในเสินอู่ถัง
เหล่าขันทีเวรกลางคืนพากันชมดูแต่ไกล พบว่าครู่เดียวพื้นที่ว่างเปล่าในเสินอู่ถังถึงกับปรากฏกระโจมหลังหนึ่ง!
และชิวเยี่ยไป๋ก็มุดเข้าไปในกระโจมอย่างเป็นปกติ!
เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องรายงานโดยด่วน ขันทีอาภรณ์สีแดงโกรธมาก นั่งข้างเจิ้งจวินด้วยสีหน้าอึมครึม “มันจงใจจะอยู่ค้างแรมในเสินอู่ถังชัดๆ ใช้ได้ที่ไหน ไร้ระเบียบโดยแท้!”
เจิ้งจวินกลับไม่พูดอะไร ลุกขึ้นให้ขันทีน้อยนำทาง “พาข้าไปดู เฉินเฮ่อ เจ้าไปกับข้าด้วย”
เฉินเฮ่อเป็นชื่อของขันทีอาภรณ์สีแดง และเป็นขันทีใหญ่ดูแลพู่กันที่เป็นรองจากเจิ้งจวินเท่านั้น คนที่สั่งลงโทษคนของกองคั่นเฟิงก็คือเขา ย่อมทนดูท่าทางเช่นนั้นของชิวเยี่ยไป๋ไม่ไหว รู้สึกว่าคนคนนี้ตั้งใจมาหาเรื่องตน จึงลุกเดินตามเจิ้งจวินไป
เฉินเฮ่อนึกในใจว่าจะต้องให้ชิวเยี่ยไป๋เข็ดหลาบให้ได้ ทางที่ดีที่สุดคือโยนไอ้หมอนี่ไปโถงลงทัณฑ์เสียเลย
ดังคาด ห่างจากเสินอู่ถังไม่ไกล ก็เห็นกระโจมหลังหนึ่งจู่ๆ ก็ถูกจัดวางไว้ท่ามกลางเก้าอี้โป๊ยเซียนไม้จื่อถาน[1] เห็นเงาร่างคนจางๆ นั่งอยู่ในกระโจม
เฉินเฮ่อพอเห็นเข้าก็โกรธจัด คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขม้นใส่ขันทีน้อยอย่างเดือดดาล “พวกเจ้าลิงค่างฝูงนี้เป็นแต่กินข้าวหรือไร เหตุใดถึงไม่ไล่ไอ้จรจัดนี่ออกไป เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องรบกวนตูกงด้วยหรือ!”
ขันทีน้อยผู้นั้นสีหน้าเงอะงะ “กราบเรียนเฉินกงกง พวกบ่าวมิใช่ไม่ได้ลองดู แต่ใต้เท้าชิวบอกว่าเขามาสวดมนต์ขอพรอาจารย์ปู่จากใจจริง อาจารย์ปู่ประทานวัจนศักดิ์สิทธิ์ สั่งให้ใต้เท้าชิวต้องสวดภาวนาในเสินอู่ถังสามวันสามคืนขอรับ!”
จะดีจะร้ายชิวเยี่ยไป๋ก็เป็นถึงขุนนางระดับสี่ตำแหน่งเชียนจ่ง ต่อให้พวกเขาดูแคลนอย่างไร หากไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน ใครจะกล้าหรือสามารถผลักไสชิวเยี่ยไป๋ออกไป!
เฉินเฮ่อฟังแล้วสะอึก ถึงกับมีเหตุผลเช่นนี้ด้วย ช่าง…เหลวไหลนัก!
ใครๆ ก็รู้ดีว่าชิวเยี่ยไป๋แสร้งอ้างคำอาจารย์ปู่ แต่ใครเล่าจะบอกได้ว่าอาจารย์ปู่ไม่ได้บอก
อย่าว่าแต่นี่เป็นการสวดภาวนาขอพรเลย!
เฉินเฮ่อทั้งโกรธเกรี้ยวทั้งจนใจ “ช่างขี้โกงร้ายกาจสมเป็นพวกคนกองคั่นเฟิงจริงๆ!”
ครานี้เขานึกเหตุผลไม่ออกว่าจะไปโวยวายใส่ชิวเยี่ยไป๋ที่แสนกตัญญูต่ออาจารย์ปู่ได้อย่างไร จึงได้แต่มองเจิ้งจวิน รอให้เจิ้งจวินสั่งจัดการกับชิวเยี่ยไป๋!
คิดไม่ถึงว่าเจิ้งจวินฟังแล้วสีหน้าเรียบเฉย และมิรู้ว่าที่เอาแต่มองกระโจมที่อยู่ไกลไปนั้นคิดอย่างไร พักใหญ่จึงยกมุมปากคราหนึ่งกล่าวเนือยๆ ว่า “ในเมื่อชิวเชียนจ่งต้องการแสดงความกตัญญูต่ออาจารย์ปู่ก็ให้เขาทำไปเถิด”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เฉินเฮ่อจนใจ แต่ในเมื่อตูกงไม่อยากให้ชิวเยี่ยไป๋เข้าพบและมิได้สั่งจัดการกับชิวเยี่ยไป๋ เขาจึงได้แต่เขม้นใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างแค้นเคืองคราหนึ่ง แล้วหันกายตามเจิ้งจวินออกไป
บัดนี้กำลังภายในของชิวเยี่ยไป๋ก้าวหน้ามากแล้ว สัมผัสทั้งห้าเฉียบไว การเคลื่อนไหวและเสียงพูดในระยะร้อยเมตรนางสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ย่อมรู้ดีเป็นธรรมดาว่าเมื่อครู่พวกเจิ้งจวินว่าอย่างไร เห็นเจิ้งจวินไม่คิดจะให้นางเข้าพบ จึงลอบถอนใจคราหนึ่ง ดูท่าเรื่องนี้คงรีบร้อนไม่ได้ ได้แต่ถูไถไปก่อนค่อยหาวิธีใหม่ จะต้องให้เจิ้งจวินเรียกพบตนเองจึงจะกระทำการได้
ดังนั้นนางจึงสวดมนต์อย่างสบายใจโดยการ…หลับเสียเลย
เช่นเดียวกับไป๋หลี่ชูที่ใจจดใจจ่อกับของกิน หนึ่งเดียวที่ชิวเยี่ยไป๋รั้งรอมิได้ก็คือการนอนหลับ แม้แต่ครานั้นในอุโมงค์ใต้ดิน เผชิญหน้ากับไป๋หลี่ชูที่พร้อมจะดูดเลือดนางจนเป็นศพแห้ง นางก็ยังอุตส่าห์หาที่นอนหลับจนได้
นางมีความเห็นว่าถ้านอนไม่พอจะอายุสั้นและเป็นร้อนในสิวขึ้น ความคิดจะเฉื่อยชาและสมองเสื่อมเหมือนคนแก่ ถ้าเป็นเช่นนั้นยังจะต่อกรกับพวกผีสางสัตว์อสูรสารพัดแบบได้อย่างไร กลับคาดไม่ถึงว่าแค่คืนเดียวพัฒนาการของเรื่องราวก็คืบไปเป็นพันลี้
เพราะชิวเยี่ยไป๋กับเจิ้งจวินเจอะกันในห้องส้วม!
เจิ้งจวินมิใช่ของปลอมเหมือนอาจารย์ปู่ที่เขาบูชา เขาเป็นขันทีจริงแท้แน่นอน
วิธีตอนของยุคนี้คือหลังปาดเบื้องล่างของผู้ชายมีดหนึ่งแล้ว ก็เอาผงขี้ธูปโปะใส่ปากแผล แล้วเสียบฟางก้านหนึ่งลงท่อปัสสาวะก็ถือว่าฆ่าเชื้อและต่อท่อเสร็จสรรพ จากนั้นจับโยนเข้าห้องมืดเป็นตายตามยถากรรม ต่อให้สามารถรอดชีวิตได้ สภาพการสมานตัวของบาดแผลเป็นอย่างไรก็คงคิดออก
มีขันทีจำนวนมากรักชอบการใช้เครื่องประทินโฉมประเภทน้ำมันหอม ไม่เพียงเพราะไม่มีเครื่องมือในการสร้างลูกหลานจึงจิตวิปริตเท่านั้น ยังมีสาเหตุสำคัญที่สุดคือปัสสาวะเล็ด จึงใช้เครื่องหอมกลบกลิ่นปัสสาวะบนตัว
ถึงอย่างไรในส่วนที่บาดเจ็บนั้นไม่เพียงควบคุมการสืบทอดลูกหลานเท่านั้น ยังควบคุมการปัสสาวะด้วย
เจิ้งจวินไม่ชอบใช้กระโถนหรือโถบ้วนน้ำลาย มักรู้สึกว่าปัสสาวะรดพื้นได้ง่าย และเขาก็ไม่ชอบใช้ผ้าอ้อม เพราะเขามีนิสัยรักความสะอาดเป็นพิเศษ จึงชอบไปยองตัวในส้วมสบายตัวกว่า ดึกดื่นค่อนคืนไม่อยากฉี่รดที่นอนย่อมต้องไปส้วมบ่อยหน่อย
ข้างเสินอู่ถังสร้างส้วมไว้หลังหนึ่งจัดว่าประณีตและสะอาด ใกล้เสินอู่ถังก็มีคนพักอาศัยน้อย ก็แค่ขันทีใหญ่ผู้ทรงอำนาจไม่กี่คน ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งขันทีน้อยที่เป็นคนรับใช้ล้วนชอบใช้โถบ้วนน้ำลายมากกว่า ไม่ต้องฝ่าลมไปห้องส้วม ดังนั้นยามค่ำคืนที่นี่จึงเท่ากับเป็นสถานที่ส่วนตัวของตูกงโดยเฉพาะ
จนถึงบัดนี้ในซือหลี่เจียนไม่เคยมีสตรีเลยแม้แต่คนเดียว คนรับใช้ล้วนเป็นขันทีน้อย แม้แต่สุนัขก็ยังเป็นสุนัขที่ถูกตอน จึงย่อมไม่มีใครไปแบ่งแยกส้วมชายหญิงเป็นธรรมดา
ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกจะไปรู้ได้อย่างไร กลางวันดื่มน้ำชาไปมาก ตกค่ำนางก็ทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นเข้าส้วมตอนดึก
นางงัวเงียยองตัวบนส้วมเสร็จครู่เดียว ขณะกำลังผูกสายรัดกางเกง ก็เห็นคนคนหนึ่งมุดเข้ามา คนผู้นั้นเลิกชายเสื้อคลุมอย่างช่ำชองแล้วยองตัวลงบนหลุมส้วมและเริ่มปัสสาวะ
แม้จะมืดสนิท แต่ชิวเยี่ยไป๋ที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าเฉียบไว แค่เหลือบมองก็รู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงข้ามเป็นใคร เวลานี้นางยังตื่นไม่เต็มตา ยังมัวคิดเรื่องเข้าพบเจิ้งจวินอยู่ ครานี้จึงไม่ต้องคิดอะไรแล้ว นางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม “ตูกง ท่านก็มาฉี่หรือ”
ชิวเยี่ยไป๋ก้าวไปเพียงก้าวเดียวนี้ พอดีแสงจันทร์ตกอยู่บนใบหน้าขาวผ่องของนาง แต่ครึ่งกายยังอยู่ในความมืด
เจิ้งจวินไหนเลยจะนึกถึงว่าตนเองมายองส้วมกลางดึก ปกติแล้วแม้แต่เงาผีก็ไม่มี จะมีคนโผล่ออกมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เขาเองกำลังยองตัวทั้งที่งัวเงีย จู่ๆ ก็มีหัวคนไม่มีร่างโผล่ออกมา ใบหน้าขาววอกยัง ‘ยิ้มแสยะ’ ด้วย พริบตานั้นพลันรู้กสึกเย็นวาบทั้งตัว ตกใจร้องเสียงแหลมแล้วล้มหงายลง “ไอ้หยา…มีผี!”
——
[1] ไม้ประดู่