ขณะเปลี่ยนเรือกลับไหวหนาน จู่ๆ นางก็ได้รับจดหมายจากหัวหน้าใหญ่สามสิบหกลุ่มน้ำแถบไหวหนาน ในจดหมายเพียงเขียนว่าองค์ชายแปดเชื้อเชิญนางร่วมดื่มสุรา นอกจากนี้ไม่มีข้อความใดอีก
“หากข้างกายข้าไม่มีคนลอบส่งข่าวให้ท่าน ท่านจะรู้ฐานะที่แท้จริงของข้าน้อยได้อย่างไร” ชิวเยี่ยไป๋มองดูน้ำชาสีเหลืองทองในจอก ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ให้ข้าน้อยลองเดาดู มั่วเสียนหรือคนข้างตัวเขาดวงแข็ง จึงโชคช่วยรอดจากเงื้อมมือของเหมยซูและส่งข่าวให้ทัน ถ้าข้าไม่อยากแส่หาความยุ่งยาก ทางที่ดีที่สุดก็คือร่วมมือกับท่านแต่โดยดีมิใช่หรือ ดังนั้นข้าน้อยจึงใจกล้ามาที่นี่”
ไป๋หลี่หลิงเฟิงมองชิวเยี่ยไป๋ ดวงตาสุกใสดุจดวงดาวเป็นประกายเล็กน้อย พลันเปลี่ยนเรื่องพูด “คุณชายสี่เย่ สนใจจะเดินหมากกับข้าสักกระดานไหม”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่รับไม่ปฏิเสธ วางจอกชาลง แลดูกระดานหมาก “หากปฏิเสธก็เสียมารยาทแล้ว”
ผิงหนิงที่อยู่ข้างๆ รีบก้าวเข้ามาจัดแจงเก็บเม็ดหมากไว้ในตะกร้าหยกให้เรียบร้อย
ชิวเยี่ยไป๋มองดูกระดานหมากแล้วมองดูไป๋หลี่หลิงเฟิง “ฝ่าบาท เดินหมากต้องมีเดิมพันบ้างถึงจะดี”
ไป๋หลี่หลิงเฟิงเลิกคิ้วเรียวยาวเย้าว่า “คุณชายสี่อยากได้อะไร คงมิใช่อยากได้ข้าอีกนะ”
นางหัวร่อเบาๆ “ฝ่าบาทล้อเล่นแล้ว ท่านสูงส่งถึงเพียงนี้ ราษฎรผู้หยาบกร้านมิบังอาจ เราเดิมพันกันด้วยสมุดบัญชีตระกูลเหมยเล่มนั้นดีไหม”
ได้ยินคำว่า ‘สมุดบัญชีตระกูลเหมย’ ดวงตาของไป๋หลี่หลิงเฟิงก็ฉายแววแหลมคม ใบหน้าสีน้ำผึ้งกลับยังคงยิ้มอย่างสบายอารมณ์ “เดิมพันนี้มีความหมาย แต่เจ้าอยู่ในตำหนักผิงอวิ๋น แม้ข้าจะยังไม่สามารถแตะต้องสำนักหอซ่อนกระบี่ได้ในเวลานี้ แต่บ้านตระกูลชิวกลับอยู่ในราชธานี พี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาวบิดามารดาและญาติของเจ้าล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าไม่คิดว่าเดิมพันนี้น้อยไปหน่อยหรือ”
นี่เป็นการข่มขู่อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
คำขู่เช่นนี้ออกจากปากของไป๋หลี่หลิงเฟิง กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว และปราศจากกลิ่นอายคุกคามแม้แต่น้อย เหมือนเขากำลังบอกเล่าความจริงอย่างหนึ่ง กำลังบอกว่าเจ้ามิมีคุณสมบัติเจรจาเงื่อนไขกับเขา
ชิวเยี่ยไป๋นึกดูแล้วถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง “ดูเหมือนฝ่าบาทพูดมีเหตุผล แต่ก่อนอื่นแม้ข้าจะอยู่ในตำหนักผิงอวิ๋น แต่มิใช่คนของฝ่าบาทจะรั้งไว้ได้ หากไม่เชื่อฝ่าบาทก็ลองดูได้”
นางหยุดลงแล้วพูดต่อ “ประการต่อมา หากท่านคิดจะลงมือกับบ้านตระกูลชิว โปรดจำไว้ว่าช่วยเตือนข้าด้วย ถ้าข้ามีเวลาจะไปชมดูความครึกครื้นแน่”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างไม่สลักสำคัญเช่นนี้ ราวกับตระกูลชิวมิใช่สายใยโลหิตของตน และนางเป็นแค่คนผ่านทางเท่านั้น
ไป๋หลี่หลิงเฟิงหรี่ตามองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างชั่งใจ เหมือนกำลังตัดสินใจว่านางพูดจริงหรือทำท่าทำทางกันแน่ “คุณชายสี่ ต่อให้ตระกูลชิวผิดต่อเจ้า ก็ยังคงเป็นบ้านเกิดของเจ้า หรือว่าเจ้าพอเข้ายุทธจักรก็ตัดขาดไม่นับญาติกับใครเลย”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูไป๋หลี่หลิงเฟิงแล้วยิ้มเล็กน้อยราวกับจนใจอยู่บ้าง “ข้านับญาติหรือไม่มิใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือหากฝ่าบาทแปดท่านมีความสามารถทำอะไรตระกูลชิวจริง ยังจะนั่งลับฝีปากกับข้าที่นี่หรือ”
นางไม่ปิดบังแววตาหยามเหยียดแม้แต่น้อยทำเอาไป๋หลี่หลิงเฟิงกุมจอกในมือแน่น ผิงหนิงที่อยู่ข้างๆ ก็ฉายแววโทสะ แต่เจ้านายมิได้ลงมือ เขาย่อมต้องกลั้นโทสะไว้เท่านั้น
ชิวเยี่ยไป๋หน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงมีท่าทางปล่อยปละราวกับไม่เห็นคนตำหนักผิงอวิ๋นอยู่ในสายตา
แม้จะเป็นกลางฤดูสารท แต่ปีนี้ฤดูกาลผิดปกติ อากาศร้อนวนเวียนไม่สร่าง ใกล้เที่ยงแล้วตะวันยิ่งร้อนจนลงแดง แต่บรรยากาศเครียดเขม็งนี้กลับทำเอาผู้คนรู้สึกถึงความหนาวเหน็บ
ไป๋หลี่หลิงเฟิงหลุบตาลงแล้วพลันหัวร่อเบาๆ “เห็นทีต้องบอกว่าคุณชายสี่เย่ช่างรู้จักแหย่ให้คนโกรธจริงๆ”
“อย่างนั้นหรือ แต่ไหนแต่ไรข้ายังคิดว่าเป็นคนรู้ใจผู้อื่นเสียอีก” ชิวเยี่ยไป๋กระตุ้นไป๋หลี่หลิงเฟิงต่ออย่างไม่คำนึงใดๆ แม้แต่น้อย
ไป๋หลี่หลิงเฟิงโค้งมุมปากแลดูนาง รอยยิ้มเฉิดฉันดุจตะวันเมื่อถึงขีดสุด กลับเหลือเพียงความยะเยียบของเปลวเพลิงสีดำที่จะเผาผลาญคนเป็นเถ้าถ่าน
“เจ้าเป็นกระดานเหล็กของตระกูลชิวจริงๆ ที่ดาบปักไม่เข้าน้ำมันสาดไม่เข้าหรือ อย่าลืมสิว่าตอนแรกตระกูลเจียงพินาศอย่างไร และทำไมตระกูลโจวจึงรักษาตัวรอดถึงบัดนี้ ตระกูลใหญ่ที่ร่วมสถาปนาอาณาจักรกับมหาจักรพรรดิเจินอู่และจักรพรรดินีหยวนเจิ้น บัดนี้ยังมีกี่คนที่หลงเหลืออยู่”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “ถูกต้อง ท่านพูดไม่ผิด ดังนั้นตระกูลชิวจึงสวามิภักดิ์ต่อตระกูลตู้เสียเลย”
แม้ดูแล้วไป๋หลี่หลิงเฟิงจะเป็นคนขององค์ชายห้า แต่ในเมื่อเขากล้าลงมือต่อตระกูลเหมยและก่อกวนขนาดนี้ ทำเอานางถูกม้วนเข้าไปด้วย นี่เท่ากับอธิบายสองเรื่อง คือ ไป๋หลี่หลิงเฟิงเองเป็นมังกรซุ่มนอกราชสำนัก แต่มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นกษัตริย์ หรือไม่ก็องค์ชายห้าไม่พอใจต่อตระกูลของมารดาที่จัดแจงเรื่องรัชทายาท จึงคิดจะตั้งตัวเป็นเอกเทศ
ไม่ว่าจะเป็นแบบใดล้วนอธิบายได้อย่างเดียว…เขากับตระกูลตู้มิใช่กลมเกลียวกันเหมือนเปลือกนอกโดยเด็ดขาด
นัยน์ตาสีดำของไป๋หลี่หลิงเฟิงฉายแววหม่นมัวแวบหนึ่ง เขาไม่ยิ้มอีกแล้ว แต่กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ข้าถือว่าเจ้าเป็นเบี้ยที่ใช้ได้ แล้วเจ้าอยากได้เดิมพันอะไร”
นี่เป็นการจำใจยอมจำนนอีกรูปแบบหนึ่งหรือ ยอมอดกลั้นต่อการโจมตีความทระนงของเขา เพียงเพราะเห็นแก่ผลไม้ในภายหลังกระมัง น่าเสียดายที่หากอยากจะได้อะไรจากนาง คงต้องคับข้องอีกไม่น้อย
ชิวเยี่ยไป๋หยิบหมากขาวเม็ดหนึ่งวางลงบนกระดาน ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ง่ายมาก ถ้าข้าน้อยชนะหมากกระดานนี้ ข้าไม่เพียงต้องการตำแหน่งคืนและยังต้องให้ข้าเลื่อนตำแหน่งสามขั้นด้วย ท่านดูสิข้าไม่โลภเลยมิใช่หรือ”
นิ้วเรียวยาวของไป๋หลี่หลิงเฟิงก็หยิบหมากดำเม็ดหนึ่งวางลงบนกระดาน กล่าวอย่างหยามหยันว่า “ใช่ ไม่โลภเลย”
ความจริงโลภมากอย่างยิ่ง
เดิมทีหัวหน้ากองหรือซือหลี่เจียนก็คือขุนนางระดับสี่ ถ้าเลื่อนสามขั้น ข้ามรองระดับสาม ระดับสาม รองระดับสอง และกลายเป็นขุนนางใหญ่ระดับสองโดยตรง ขุนนางใหญ่ระดับสองสามารถเข้าวงในของราชสำนักถวายฎีกาดิบๆ เบื้องพระพักตร์องค์จักรพรรดิได้ทุกวัน มีอำนาจในการกราบบังคมทูลความเห็นต่อฎีกาที่เกี่ยวข้อง แทบจะกล่าวได้ว่าก้าวเดียวขึ้นฟ้าเลยทีเดียว
หรือถ้าจะตั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่หมิงเวยระดับสองในกองพันของเขาก็ใช่ว่าจะไม่ได้
แต่ดูเหมือนชิวเยี่ยไป๋จะฟังไม่ออก แม้แต่น้อยว่าไปหลี่หลิงเฟิงกำลังประชด จึงหยิบเม็ดหมากพลางแย้มยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า “ในเมื่อองค์ชายแปดก็เห็นด้วยกับข้าน้อย ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปต่อ ที่ข้าน้อยพยายามเช่นนี้ก็เพราะหวังจะได้ตำแหน่งที่อิ่มหนำในราชสำนัก คิดว่าองค์ชายแปดย่อมสามารถช่วยให้ข้าน้อยได้งานที่อิ่มหนำอย่างแน่นอน”
ไป๋หลี่หลิงเฟิงได้ยินนางเอาแต่พล่ามถึง ‘ตำแหน่งอิ่มหนำ’ ‘งานอิ่มหนำ’ อย่างไร้ความกริ่งเกรง ซ้ำยังเลือกตำแหน่งไว้เรียบร้อยแล้ว จึงชะงักมือเล็กน้อย วางเม็ดหมากนั้นแตกเป็นสองเสี่ยง เขาเงยหน้าแลดูชิวเยี่ยไป๋อย่างเย็นชา “คุณชายสี่เย่ เจ้ามันโลภไม่รู้จักพอ หากเจ้าต้องตาตำแหน่งปิงปู้ซ่างซูหรือฮู่ปู้ซ่างซูพวกนี้ ข้าก็ต้องให้เจ้าหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นไป๋หลี่หลิงชูถูกตนกระตุ้นจนโมโหแล้ว ดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่าพูดจาเกินเลย จึงเกิดอาการกล่าวเนือยๆ ว่า “ฝ่าบาทแปด ไยจึงต้องมีโทสะ ข้าน้อยย่อมไม่ขอตำแหน่งที่ทำให้ต้องลำบากใจ”