“ชิวเยี่ยไป๋!” ในที่สุดไป๋หลี่หลิงเฟิงก็อดใจไม่ได้ ตบโต๊ะฉาดโดยไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บที่ขา แววตาอำมหิต มองดูชิวเยี่ยไป๋ที่นั่งบนเก้าอี้อย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าอย่ารังแกคนจนเกินไป!”
“ข้าชื่นชมคนฉลาด โดยเฉพาะคนฉลาดที่เหิมเกริม คนประเภทนี้หากมิโง่เกินไปก็เป็นพวกมีความสามารถสูงเกินไป ข้าคิดว่าเจ้าเป็นประเภทแรก แต่บัดนี้ดูแล้วเจ้าเป็นประเภทหลังมากกว่า!”
คนที่ได้แต่ความฉลาดกลอกกลิ้งเล็กๆ มีชื่อเสียงจอมปลอม ย่อมไร้คุณค่าที่ต้องให้เขาเสียเวลาด้วย
เขาโบกมืออย่างเย็นชา กำลังจะออกคำสั่งให้จับไว้
กลับนึกไม่ถึงว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเงาร่างสายหนึ่งตะบึงมาจากนอกประตู แม้แต่คารวะต่อ
ไป๋หลี่หลิงเฟิงก็ลืมไป ละล่ำละลักกล่าวว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาทแปด แย่แล้ว…”
“บังอาจ พูดจาภาษาอะไร!” ผิงหนิงมองดูนางกำนัลตัวน้อยที่ลนลานหอบแฮก สะบัดแส้ปัด ตำหนิอย่างเกรี้ยวกราด
นางกำนัลตัวน้อยจึงเพิ่งรู้ตัวว่ามิควรพูดจาเช่นนี้ จึงกัดฟันกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวรู้ว่าผิดไปแล้ว แต่ข้างนอกตำหนักผิงอวิ๋นมีพวกกงกงของซือหลี่เจียนมากันมากมาย ล้อมตำหนักผิงอวิ๋นของเราไว้แล้ว”
“อะไรนะ” ผิงหนิงตะลึง พึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ว่ากันตามกฎเกณฑ์แล้ว ขันทีในทั้งหมดล้วนสังกัดซือหลี่เจียน แม้ในความเป็นจริงบรรดาขันทีรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายจนมีหน้ามีตา ก็แค่สังกัดซือหลี่เจียนเพียงนามเท่านั้น เพียงแค่การตรวจสอบคุณสมบัติแต่ละปีจึงค่อยไปรับป้ายตรวจสอบร่างกายที่นั่น พวกเขายังคงภักดีต่อเจ้านายโดยตรง และคนที่ควบคุมพวกเขาได้ก็คือพวกเจ้านายของพวกเขาเท่านั้น
แต่พวกเขายังคงเข้าใจดีว่าในซือหลี่เจียนคนที่มีอำนาจในการโยกย้ายขันทีองครักษ์ในสังกัดซือหลี่เจียน บัดนี้มีเพียงพระพันปีองค์เดียว
“องครักษ์ฝ่ายในของซือหลี่เจียนมาทำไม” ไป๋หลี่หลิงเฟิงก็ลุกขึ้นถามเสียงเย็นชา
ปกติแล้วการลงทัณฑ์คนในวังเป็นอำนาจของขันทีองครักษ์ฝ่ายในซือหลี่เจียน แต่การมาล้อมวังไว้ ย่อมมิใช่เหตุการณ์ธรรมดาหากเพียงต้องการลงโทษคนในวังเท่านั้น และเขาย่อมไม่เชื่อว่าบรรดาพวกที่พากันมาล้อมที่นี่ก็เพื่อถ่ายทอดคำสั่งประทานรางวัลแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องของพระพันปี เรื่องที่จะแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องยังคงจะคาอยู่ที่พระพันปีนานแล้ว
ถึงอย่างไรโอรสคนหนึ่งที่มิใช่สายเลือดโดยตรงของตระกูลตู้ จะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องก่อนโอรสสายตรง ต่อให้เขามีความดีความชอบมากมายจากการศึก ยังคงทำให้ตระกูลตู้รู้สึกเสียหน้า
นางกำนัลตัวน้อยเห็นเจ้านายถึงกับเอ่ยปากถามเอง จึงเหลือบมองด้านหลังเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “พวกกงกงบอกว่ารับคำสั่งมาจับนักโทษแผ่นดิน”
“อะไรนะ!”
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ไป๋หลี่หลิงเฟิงที่หนักแน่นที่สุดยังคงสีหน้าเย็นลงอย่างอดมิได้ มองดูรอบๆ อย่างข้องใจ
เป็นใครกัน ถึงกับแพร่งพรายข่าวที่ชิวเยี่ยไป๋อยู่ในตำหนักผิงอวิ๋นต่อพระพันปี!
การมาของชิวเยี่ยไป๋เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ต้องมีคนขายตำหนักผิงอวิ๋นแน่!
บรรดาองครักษ์บู๊กับผิงหนิงมองหน้ากัน ต่างตื่นตัวระวังอีกฝ่าย แต่ทุกคนในที่นี่ไม่มีใครออกจากบริเวณศาลาเก๋งเลยนี่นา แล้วจะไปแพร่งพรายเรื่องนี้ได้อย่างไร
เสียงของชิวเยี่ยไป๋จู่ๆ ก็ดังขึ้นอย่างเกียจคร้านด้านหลังพวกเขา “ข้าเองที่ให้คนไปแจ้งต่อคนของพระพันปี บอกว่าข้ากำลังสนทนาอย่างออกรสกับฝ่าบาทแปดที่ตำหนักผิงอวิ๋น
“เจ้า!” ผิงหนิงหันมองชิวเยี่ยไป๋ อดคำรามเบาๆ มิได้ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ หรือว่าอยากตาย”
ถึงกับสั่งให้คนไปแจ้งข่าวต่อคนที่อยากจะฆ่าตนให้ตาย ชิวเยี่ยไป๋มิรู้หรือว่าพระพันปีออกคำสั่งประกาศจับทั่วแผ่นดิน ถือว่าเขาเป็นนักโทษอาญาแผ่นดิน และเป็นคนที่อยากให้เขาตายมากที่สุด!”
ไป๋หลี่หลิงเฟิงกลับพลันหรี่ตาลงอย่างน่าหวาดเสียว แลดูชิวเยี่ยไป๋แต่ไม่พูด
ชิวเยี่ยไป๋ส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา “ข้าน้อยย่อมไม่อยากตาย แต่ก็ไม่อยากถูกใครข่มขู่ จึงได้ให้คนไปแจ้งต่อพระพันปีของพวกเรา ถึงอย่างไรคนที่อยากได้สมุดบัญชีในมือข้าก็ใช่ว่าจะมีแต่ฝ่าบาทแปดคนเดียว เทียบกับฝ่าบาทแปดแล้ว องค์พระพันปียิ่งอยากได้สมุดบัญชีตระกูลเหมยมากกว่า”
ไป๋หลี่หลิงเฟิงมองดูนาง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าคิดจะใช้วิธีที่รับมือข้าไปจัดการกับพระพันปีหรือ นั่นมันเหมือนขอหนังจากพยัคฆ์เชียวนะ เจ้ารู้หรือไม่”
คนผู้นี้บ้าไปแล้วจริงๆ!
ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจเบาๆ แววตาเย็นหยามหยัน “เฮอะ ฝ่าบาท ท่านไยต้องอับอายจนมีโทสะเล่า เดิมทีข้าน้อยมีความจริงใจที่จะซื้อขายกับฝ่าบาทอยู่ แต่น่าเสียดายที่ฝ่าบาทไม่มองชาวบ้านผู้หยาบกร้านในยุทธจักรเช่นข้าอยู่ในสายตาเลย ข้าน้อยจึงขอเปลี่ยนผู้ซื้อรายใหม่จะดีกว่า”
ที่นางพูดคราวนี้เป็นความจริง เดิมทีนางก็มิได้คิดอยู่แล้วว่าจะมีความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับไป๋หลี่หลิงเฟิง น่าเสียดายที่การประมือครั้งนี้ทำให้นางรู้ว่า แม้ปากของไป๋หลี่หลิงเฟิงจะพูดจาน่าฟัง แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นบุรุษที่ยโสแข็งกร้าวเป็นที่สุด และคิดว่านางเป็นของในลัง
“ในเมื่อฝ่าบาทไม่ถือว่าข้าเป็นหุ้นส่วนที่จะร่วมมือกัน ก็จึงจำต้องลองหาผู้ซื้อรายใหม่แล้ว”
“เจ้า…เจ้าคนนี้ถึงกับต่ำช้าไร้ยางอายถึงเพียงนี้ ไม่มีศักดิ์ศรีแม้แต่น้อยเชียวหรือ!” ในที่สุดผิงหนิงก็อดรนทนไม่ไหว ตวาดอย่างโกรธแค้น
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วก็หัวร่อเบาๆ อย่างอดมิได้ น้ำเสียงเย็นชาดูแคลนกล่าวว่า “ความไร้ยางอายของข้าน้อย ไหนเลยจะเทียบได้กับพวกราชนิกุลไป๋หลี่เช่นพวกท่านได้ ถ้าข้าน้อยไม่ไร้ยางอาย ไร้ ‘ศักดิ์ศรี’ อย่างนั้น วันนี้จะตีเสมอร่วมจิบน้ำชากับฝ่าบาทแปดได้อย่างไรกัน”
“แต่ไรมาหอซ่อนกระบี่มีแต่รับของเท่านั้น ถ้าคิดจะได้ของจากหอซ่อนกระบี่ ชาวยุทธจักรต่างก็รู้ว่าย่อมต้องชดเชยด้วยคุณค่าที่คาดไม่ถึง” ชิวเยี่ยไป๋โบกพัดจีบในมือ คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม แลดูไป๋หลี่หลิงเฟิงสีหน้าท่าทางของนางเย็นชาถึงขีดสุด พลานุภาพที่แสดงออกมานั้นเห็นชัดว่ามิได้ด้อยไปกว่าอ๋องแม่ทัพใหญ่ผู้โอ่อ่าในสนามรบเช่นไป๋หลี่หลิงเฟิงแม้แต่น้อย
“เล่นกับไฟจะเผาตัวเอง คุกจ้าวอวี้ของซือหลี่เจียนไปแล้วไม่มีกลับ” ยามนี้จิตใจของไป๋หลี่หลิงเฟิงเปลี่ยนจากตกใจสะท้านกลายเป็นสับสนอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็งคู่นั้นจ้องชิวเยี่ยไป๋เขม็ง ในนั้นมีแววเสียดายปนอยู่ด้วย
ชิวเยี่ยไป๋ร้องเชอะเบาๆ “ฝ่าบาทแปดไม่ต้องวิตกแทนข้า ท่านเตรียมรับมือดีกว่าว่าจะกล่าวกับพระพันปีอย่างไรที่ท่านเกือบทำเอาตระกูลเหมยกับตระกูลตู้ย่ำแย่ไปตามกันเช่นนี้”
นางเคยบอกไปแล้ว ใครก็ตามที่กล้าคิดร้ายต่อเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่จะต้องได้รับความคับข้องอย่างแน่นอน ในเมื่อมีคนลากนางเข้าวังวนแล้วนางจะปล่อยให้อีกฝ่ายรอดตัวไปฝ่ายเดียวได้อย่างไร
กลเกมนี้ในเมื่อคนที่อยากเล่นเป็นตระกูลไป๋หลี่เช่นนั้นนางก็จะทำให้เกมพนันนี้เดิมพันสูงสุด!
“หลีกไป องครักษ์เน่ยเจียนของซือหลี่เจียนจะค้นจับนักโทษอาญาแผ่นดิน ใครกล้าบังอาจขัดขวางถือว่าโทษกบฏเหมือนกัน!” ไม่ไกลนักแว่วเสียงฝีเท้านับมิถ้วน ยังมีเสียงแหลมเล็กที่ตวาดอย่างดุดันลำพอง ซ้ำยังได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันด้วย
แม้ซือหลี่เจียนจะซบเซามานาน แต่ยังคงมีอำนาจในวังมิใช่น้อย ถึงอย่างไรเจ้านายเบื้องสูงของพวกเขาก็คือองค์พระพันปี เป็นผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจที่แท้จริงของราชสำนัก
ผิงหนิงได้ยินเสียงเหล่านี้ จึงกระซิบต่อไป๋หลี่หลิงเฟิงว่า “ฝ่าบาทหักหาญกับองค์พระพันปีมิได้นะขอรับ”
ไป๋หลี่หลิงเฟิงแลดูชิวเยี่ยไป๋ เห็นนางไม่กริ่งเกรงแม้แต่น้อย ใบหน้าคมสันสีน้ำผึ้งจึงเปลี่ยนสีเล็กน้อยแล้วโบกมือ “ให้พวกขันทีเน่ยเจียนเข้ามาเถิด”