ชิวเยี่ยไป๋เห็นคนกลุ่มใหญ่ที่ถลันเข้ามาอย่างดุเดือดเป็นองครักษ์เน่ยเจียนพกดาบในชุดปลาบิน จึงยิ้มให้เขาอย่างเฉิดฉัน บอกลาด้วยสีหน้าสบายอารมณ์ “แล้วพบกันใหม่ ฝ่าบาทแปด”
ไป๋หลี่หลิงเฟิงมองตามเงาหลังของนาง ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกมีแววสับสนวูบหนึ่ง
…
ข่าวคราวของตำหนักผิงอวิ๋นย่อมปกปิดค่งเฮ่อเจียนที่หูตาเกลื่อนวังมิได้
อย่าว่าแต่ชิวเยี่ยไป๋ก่อกวนจนเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
ในตำหนักเทพที่สลัว เงาร่างสูงเพรียวที่อิงกายหลับตาบนตั่งนุ่ม ผมยาวสีเงินยวงม้วนอยู่บนตั่งราวกับธารสีน้ำเงิน ใบหน้าที่สะท้านผู้คนสงบราวกับพุทธะกำลังหลับใหล
ซวงไป๋กล่าวเบาๆ อย่างลังเล “ท่านราชครู”
คนงามผมเงินไม่ตอบ ยังคงนิ่งเหมือนพุทธะที่หลับใหล
ซวงไป๋อดร้อนใจมิได้ ครานี้ชิวเยี่ยไป๋ทำเรื่องใหญ่โตเกินไป เขากับอีไป๋จัดการไม่ไหวจึงมาหาราชครู ใครจะไปรู้ว่าหลังราชครูฟังแล้วถึงกับไม่พูดไม่จาหลับตาสวดภาวนาเสียเลย
“ท่านราชครู ท่านหลับแล้วหรือ”
พักใหญ่คนงามผมเงินจึงขยับริมฝีปากแดงสดใส ยิ้มน้อยๆ อย่างเย็นชา “เจ้าบ้าคนนั้น…ฮ่า เขาช่างคำนวณเก่งจริง แต่ก็ดี เขาเข้าวังเองจะโทษใครไม่ได้”
เขาเผยอตาเล็กน้อย แสงจันทร์เย็นเยียบตกอยู่บนนัยน์ตาดำขลับกลมโต เย็นเยือกพิกลราวกับมหรรณพ
“ฝ่าบาทหรือ” ดวงตางดงามของซวงไป๋เป็นประกาย ตั้งแต่ออกจากสำนักอาจารย์แต่วัยเยาว์เขาก็ติดตามไป๋หลี่ชูมาตลอด ย่อมคุ้นเคยกับฝ่าบาทของตนเป็นอย่างยิ่ง
“อืม” ไป๋หลี่ชูชันกายขึ้นนั่งช้าๆ ซวงไป๋รีบพยุงเจ้านายลุกขึ้นตามวิธีเดิม ปลายนิ้วแตะขมับทั้งสองข้างของไป๋หลี่ชูและคลึงเบาๆ
“เสี่ยวไป๋ตอนนี้อยู่ที่ใด” ไป๋หลี่ชูนั่งขัดสมาธิพลางหลับตาพักผ่อน แม้บัดนี้หลังอาเจ๋อหลับแล้ว เขามักตื่นขึ้นเร็วกว่าเมื่อก่อนมากโขและง่ายกว่าเดิม แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมายังคงรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้างและสีหน้าไม่สู้ดี
ซวงไป๋นึกดูแล้วกล่าวว่า “ตอนที่บ่าวไปถึง ใต้เท้าชิวเพิ่งจะถูกองครักษ์เน่ยเจียนนำตัวไป ก่อนที่พระพันปีจะทรงพิจารณา ย่อมไม่ปล่อยให้ใต้เท้าชิวออกจากวังแน่ และคงไม่ถึงกับส่งไปคุกจ้าวอวี้เป็นการชั่วคราว น่าจะยังขังไว้ในห้องลงทัณฑ์ บ่าวได้ส่งคนติดตามไปแล้ว จะได้ข่าวอย่างรวดเร็ว”
ไป๋หลี่ชูยกมือเท้าคางอันงดงาม กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “อืม ให้คนเฝ้าดูไว้ อย่าให้ไอ้พวกคนถ่อยฉวยโอกาสทำอะไรไม่ดี แต่ก็ไม่ต้องสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องระหว่างยายเฒ่ากับเสี่ยวไป๋”
ซวงไป๋งงงัน “ฝ่าบาท”
ยังมิต้องพูดถึงจะมีคนถ่อยอะไรจะลงมือต่อใต้เท้าชิว คนที่ไม่อยากให้ใต้เท้าชิวมีชีวิตอยู่ต่อไปมากที่สุด และอยากได้สมุดบัญชีที่สุดก็คงเป็นพระพันปีกระมัง ยามนี้ฝ่าบาทกลับไม่ให้พวกเขาสอดมือเรื่องระหว่างพระพันปีกับชิวเยี่ยไป๋
ไป๋หลี่ชูร้อง “เฮอะ” เบาๆ “ไม่มีท้องที่ใหญ่พอย่อมกินข้าวได้ไม่มาก ในเมื่อเขากล้าบุกวังก่อเหตุเช่นนี้ คิดว่าเขาคงมีแผนของเขาเอง ข้าจะทำตัวเป็นคนไม่ดีไปขวางทำไมกัน”
น้ำเสียงอ้อยสร้อยเย็นชาของเจ้านายตน ฟังอย่างไรยังคงน่ากลัว และซวงไป๋ฟังแล้วก็รู้สึกว่า
…เปี่ยมด้วยความนัยและเจตนาร้าย
ซวงไป๋งงงันแล้วแข็งใจกล่าวว่า “ฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้นท่านไม่คิดจะออกหน้าแล้วกระมัง”
ไป๋หลี่ชูกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าที่เป็นผู้ชมก็ชมดูไป ยากนักที่เสี่ยวไป๋จะมาเองสักครา ในฐานะเจ้าบ้าน ย่อมต้องต้อนรับอาคันตุกะให้ดี หากข้าไม่ออกหน้า อาจทำให้เสี่ยวไป๋ผิดหวัง”
ซวงไป๋มองดูไป๋หลี่ชูที่มิรู้ว่านึกถึงอะไร ดูเหมือนจะแลบปลายลิ้นแดงสดเลียมุมปากที่ขาวซีดอย่างไร้เจตนา แล้วยิ้มบางๆ ราวกับผู้ล่าที่แข็งแกร่งกำลังนึกถึงอาหารเลิศรสก็มิปาน และเตรียมจะส่งแพะแกะรสดีที่แส่มาเองไปถลกหนังหักกระดูก สาวไส้ดูดสมอง ทำเอาผู้คนรู้สึกสยองอย่างประหลาด
เขาลอบถอนใจ ถ้าท่านปรากฏตัว ชิวเยี่ยไป๋จึงจะผิดหวังกระมัง
เขารู้สึกว่าครานี้ชิวเยี่ยไป๋บุกวังตามลำพัง ก่อคลื่นลมน่ากลัวขนาดนี้ ออกจะมีบุคลิกของยอดมือสังหารก่อนต้นยุคฉินอยู่บ้าง นั่นเป็นรัชสมัยที่ยุทธจักรกับราชสำนักเกี่ยวพันกันแนบแน่นที่สุด และเป็นรัชสมัยที่ปั่นป่วนวุ่นวาย ทำเอาเขารู้สึกนับถือในใจอย่างประหลาด
ถ้าชิวเยี่ยไป๋ต่อกรกับราชสำนักที่มีอันตรายทุกฝีก้าวตามลำพัง ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถรอดตัวได้อย่างปลอดภัย แต่พอ ‘ผู้ชม’ เช่นฝ่าบาทเข้ายุ่งด้วย…
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้จะไปต่อในทิศทางที่ยังมิรู้ ถ้าฝ่าบาทไม่ก่อกวนให้เป็นเรื่องใหญ่โตคงไม่รามือแน่
ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครคาดเดาได้
…
‘พุทธะมีชีวิต’ ที่ซุกตัวในตำหนักเทพนี้เตรียมจะก่อกวนให้เกิดคลื่นลม ขณะที่ตำหนักผิงอวิ๋นก็ไม่สงบเช่นกัน
“ฝ่าบาทแปด พระพันปีมีเสาวนีย์ พักนี้ท่านสุขภาพไม่สะดวกได้รับบาดเจ็บเพื่อชาติ ทำเอาท่านผู้เฒ่าปวดใจ ดังนั้นต่อไปนี้ท่านจงพักฟื้นให้ดีในตำหนักผิงอวิ๋นเถิด พระพันปีให้พวกเราพาองครักษ์เน่ยเจียนมาช่วยรักษาตำหนักผิงอวิ๋นให้ท่าน รับรองว่าแมลงวันสักตัวก็บินเข้ามามิได้”
หลังขันทีใหญ่วัยกลางคนในชุดแดงปักลายกิเลนปลาบินให้คนพาชิวเยี่ยไป๋ไปแล้ว ก็มิได้จากไปในทันที หากแต่ยิ้มเย็นชาให้ไป๋หลี่หลิงเฟิงอย่างไร้ความรู้สึก เสียงแหลมเล็กหยุดลงแล้วลากต่ออ้อยสร้อย “จะได้ไม่เป็นการรบกวนการพักฟื้นของท่าน”
ผิงหนิงที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วเหงื่อเย็นไหลโซมทั่วกาย ก้าวเข้าไปยิ้มประจบอย่างอดมิได้ “ท่านข้าหลวงใหญ่เจิ้ง อีกไม่กี่วันฝ่าบาทต้องเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งเป็นอ๋อง ไหนเลยจะ…ไม่ให้ใครเข้าออกได้”
ดวงตายิบหยีของเจิ้งจวินฉายประกายราวอสรพิษแวบหนึ่งกล่าวอย่างถากถางว่า “ฝ่าบาทแปดสุขภาพไม่ดี ยังจะจัดพิธีแต่งตั้งอ๋องอะไรอีก ย่อมต้องรอจนฝ่าบาทแข็งแรงดีแล้วค่อยว่ากันเรื่องนี้เถิด”
ผิงหนิงสะดุ้ง กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อว่า “แต่นี่เป็นราชโองการของใต้ฝ่าพระบาท…”
เจิ้งจวินเหลือบมองอย่างรำคาญ “ใต้ฝ่าพระบาททรงประชวรบนบรรจถรณ์ ยามนี้ฝ่าบาทเซ่อกั๋วก็ไม่อยู่ในวัง พระเสาวนีย์ขององค์พระพันปีก็คือราชโองการของใต้ฝ่าพระบาท”
พูดจบเขามองดูผิงหนิงอีก ชักมุมปากกล่าวว่า “เสี่ยวผิงจื่อ เจ้าติดตามฝ่าบาทมานานปี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจึงมีวันนี้ และนี่ก็เป็นบุญกุศลที่เจ้าสร้างมาแต่ชาติก่อน อย่าทำลายบุญญาของตนจนหมดนะ มีเวลาก็หมั่นตักเตือนเจ้านายให้บำเพ็ญตัวบ่มนิสัย วันหน้าเจ้าจะได้ดิบได้ดีบ้างนะ”
เจิ้งจวินพูดจบก็แค่นเสียงอย่างดูแคลน แล้วหันกายนำองครักษ์เน่ยเจียนจากไป
ผิงหนิงรู้ว่านี่เป็นคำเตือนอย่างโจ่งแจ้ง อาศัยการเตือนเขาเพื่อเตือนฝ่าบาทแปด เขาหน้าซีดแล้วแดง ลอบถอนใจคราหนึ่ง ยังคงรับคำอย่างนอบน้อม “ขอรับ”
จนกระทั่งพวกองครักษ์เน่ยเจียนไปกันหมดแล้ว ผิงหนิงยังคงไม่กล้านึกถึงสีหน้าของฝ่าบาทของตน
นกที่บินเข้าร่างแหทำพิษ จากนั้นยังไม่ต้องพูดถึงว่าบินหนีไม่ได้ ซ้ำร้ายฐานะที่อยู่เบื้องหลังแต่เดิมยังถูกฝ่ายตรงข้ามเปิดโปงด้วย กระทั่งเกียรติยศที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องด้วยความชอบที่บาดเจ็บจากการศึกก็ถูกยกเลิก มันช่าง…
เจ้าตัวซวยชิวเยี่ยไป๋ ทางที่ดีที่สุดคือให้เจ้ามีชีวิตอยู่สู้ตายไปมิได้ในคุกจ้าวอวี้ของซือหลี่เจียนเถิด
แต่หลังผิงหนิงลอบสาปแช่งอย่างดุเดือดในใจแล้ว ยังคงต้องฝืนใจมองหน้าเจ้านายของตน กลับเห็นสีหน้าของเจ้านายแม้จะอึมครึมเป็นพิเศษ ให้ความรู้สึกแตกต่างจากความเฉิดฉันดุจดวงตะวันในยามปกติ แต่เจ้านายของตนกลับดูเหมือน…เหม่อลอย