ชิวเยี่ยไป๋ชักมุมปากเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่เย็นเยียบ “ประการแรก ไป๋หลี่หลิงเฟิงให้ ‘ของขวัญชิ้นใหญ่’ แก่ข้าทำให้ข้าเสียแผน ข้าย่อมต้องเอาคืน”
แต่ก่อนหน้านี้ นางได้ให้ ‘ของที่ระลึก’ แก่ฝ่าบาทแปดผู้ทำลายแผนของนางที่วางไว้แต่เดิมไปแล้ว บังเอิญตนเพิ่งเข้าราชธานี นางได้ยินว่าองค์ชายแปดกำลังจะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง อาจทำให้ฉายา ‘อ๋องแม่ทัพใหญ่’ ของเขาที่แสนเกรียงไกรกลายเป็นฐานะที่มั่นคงก็เป็นได้
ดังนั้นจึงจงใจเลือก ‘มาเยือน’ ก่อนวันแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องเพียงไม่กี่วัน ถ้าเวลานั้นการแสดงออกของไป๋หลี่หลิงเฟิงทำให้นางพอใจ นางอาจเปลี่ยนใจก็ได้ น่าเสียดายที่ไป๋หลี่หลิงเฟิงเป็นดังที่นางคาดคะเน ขณะนี้เขายังมิใช่หุ้นส่วนที่ดีในการร่วมมือแต่อย่างใด
ชิวเยี่ยไป๋หยุดเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ “ประการที่สอง ข้าต้องให้เขาได้ประจักษ์ถึงคุณค่าที่แท้จริงของคุณชายสี่ของเจ้าบ้าง หากวันข้างหน้าเกิดมีเหตุต้องร่วมมือกับเขาอีก เขาจึงจะมีความจริงใจ ในกลเกมแห่งอำนาจ ไม่มีศัตรูที่ถาวรอยู่แล้ว”
“แต่คุณชายสี่ สถานการณ์ที่ท่านจะได้เห็นสภาพของอุดมการณ์สูงสุดตามที่หวังนี้ ล้วนมีตัวแปรมากมาย หากไม่รอบคอบหรือเกิดการผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว จะไม่ทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายสุดแสนหรอกหรือ” เป๋าเป่าชักปวดศีรษะ แผนนี้ของคุณชายสี่เสี่ยงเกินไป ล้วนอาศัยธาตุแท้ของมนุษย์และการคาดคะเน แทบจะไม่มีที่พึ่งพาเลย
“การสืบเสาะคนทรยศต้องใช้เวลา แต่ไป๋หลี่หลิงเฟิงไม่ให้เวลาข้า พระพันปีก็ไม่เหลือเวลาให้ข้า ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนทรยศอยู่เพียงฝ่ายเดียวหรือไม่ มีแต่การเป็นโจรพันวัน ไหนเลยจะมีการป้องกันโจรพันวัน ป้องกันไปก็ไร้ประโยชน์ จึงไม่ป้องกันเสียเลย” ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง
“แต่เจ้าก็พูดไม่ผิด ข้ากำลังเดิมพัน อาจต้องเจ็บปวดเนื้อหนังบ้าง แต่…ที่พึ่ง…” เงาแดงสายหนึ่งจู่ๆ วาบเข้าในสมองของนาง นางชักมุมปากเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “อาจมิใช่จะไม่มีไปเสียหมดนะ”
แม้คนผู้นั้นบอกว่าจะไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว แต่อย่างน้อยคนคนนั้นยังต้องการเลือดของนาง ย่อมไม่ปล่อยให้นางตายไปแน่
นางกลายเป็นตัวยาของเขาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ บนลำคอและข้อมือยังโดนมีดกรีดไปหลายแผล แม้จะเป็นเพียงบาดแผลทางเนื้อหนัง ยังคงต้องให้เจ้าไป๋หลี่ชูจ่ายค่าทดแทนบ้างก็ใช่ว่าจะเกินไป
แต่เห็นได้ชัดว่าเป๋าเป่านึกถึงอีกคน จึงกล่าวอย่างสงสัยว่า “คุณชายสี่หมายถึงราชครูหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่รับไม่ปฏิเสธ เพียงกล่าวว่า “วันหลังเจ้าจะรู้เอง”
มิรู้เพราะอะไร ในใจนางไม่คิดจะลากหยวนเจ๋อลงน้ำ เขายังคงเหมาะกับการสวดมนต์ในห้องพระอย่างสงบเงียบมากกว่า ไม่สมควรข้องแวะกับเล่ห์ร้ายทางโลกอีก
เป๋าเป่าเงียบงัน ในใจเขาระแวงต่อหยวนเจ๋อมาตลอด เจ้าหลวงจีนคนนี้ช่างเหมือนกับอีกคนมาก รูปร่างเค้าโครงกระดูก แม้แต่ความยาวของนิ้วมือ แต่…นี่เป็นครั้งแรกที่ยอดฝีมือการปลอมแปลงโฉมอย่างเขาก็ยังยากจะตัดสิน เพราะคนที่ปลอมแปลงโฉมนั้น ทุกจุดในตัวล้วนเปลี่ยนแปลงได้ยกเว้น..ดวงตา
ในเมื่อเป็นเรื่องไม่แน่ใจ เขาย่อมไม่คิดจะพูดให้ชิวเยี่ยไป๋ยุ่งยากใจ
…
ในหกวังตะวันตก แม้วังหย่งหนิงจะมิได้ประณีตวิจิตรที่สุด แต่กลับเงียบสงบที่สุด เสาแดงรายรอบแกะสลักเป็นลวดลายอักษรเซียนและกระเรียนอวยพรวันเกิด นอกจากตำหนักเทพชินเทียนเจียนแล้ว ก็เป็นที่นี่แหละที่ปลูกต้นโพธิ์มากที่สุด ในลานกว้างของวังยังเลี้ยงนกกระเรียนหงอนแดงไว้สองตัวด้วย
พวกคนวังที่ไปๆ มาๆ ส่วนมากมีอายุหน่อย ถึงอย่างไรพระพันปีก็เคยชินกับคนเก่าแก่และไม่ชอบคนรับใช้อายุน้อยที่ทำอะไรกระโดกกระเดก
หลังเข้าสู่ฤดูสารท ใต้เท้าหมอหลวงบอกว่าพระพันปีไม่เหมาะกับการอยู่ในอาคารบนน้ำที่เย็นสบายซึ่งความชื้นสูง จึงย้ายมาประทับที่วังหย่งหนิงตามธรรมเนียมเก่า
“กราบทูลพระพันปี พาคนมาแล้ว บัดนี้คุมตัวอยู่ข้างนอก” เจิ้งจวินคุกเข่าลงคารวะพระพันปีอย่างนอบน้อม
พระพันปีเพิ่งตื่นจากบรรทม กำลังนั่งอยู่ข้างพระฉายที่ประณีตจากแดนตะวันตกบานหนึ่ง ให้ต่งหมัวมัวสางพระเกศา ราวกับไม่เห็นการคารวะของเจิ้งจวิน เพียงมองดูหมอหลวงด้านข้างที่เพิ่งแมะตรวจให้ตามปกติและกำลังเก็บล่วมยาอยู่ รับสั่งเนือยๆ ว่า “เจ้าว่าบนศีรษะข้าประดับปิ่นหงส์หยกหรือว่าปิ่นทองประดับมุกดี”
ต่งหมัวมัวรีบส่งปิ่นสองอันในมือให้หมอหลวงหลัว หมอหลวงหลัวเงยหน้าสี่เหลี่ยมขึ้น มองดูปิ่นในมือของต่งหมัวมัว คิดอยู่ครู่หนึ่งกลับมิได้หยิบ หากแต่หันกายหยิบปิ่นหยกเขียวประดับดอกไม้จากกล่องเครื่องตกแต่งแล้วเดินไปด้านหลังพระพันปี ช่วยนางปักปิ่นไว้บนมวยผม ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ข้าน้อยคิดว่าด้วยราศีของพระพันปี ท่านไม่จำเป็นต้องเสริมด้วยของหรูหราพวกนั้น เพราะกลับจะบดบังรัศมีของพระองค์ สู้ปิ่นหยกนี้ดีกว่า สูงส่งและโดดเด่น อีกทั้งไม่มีกลิ่นอายของการตกแต่ง”
พระพันปีมองดูหมอหลวงหลัวอย่างเย็นชาจากเงาในพระฉายมิได้รับสั่ง บรรยากาศคล้ายจู่ๆ ก็เย็นวูบลง
แต่ดูเหมือนหมอหลวงหลัวมิได้สังเกตความไม่พอพระทัยของพระพันปี เพียงยิ้มน้อยๆ ให้กระจกอย่างมิแข็งมิอ่อน
ครู่หนึ่ง พระพันปีพลันถอนใจเบาๆ คราหนึ่งคล้ายอับจนใจ “ก็เจ้านี่แหละที่ยกยอปอปั้นข้าเก่งที่สุด คนที่ฝังดินไปครึ่งตัวแล้ว ยังจะสูงส่งโดดเด่นไม่มีกลิ่นอายการตกแต่งอะไรอีกเล่า”
หมอหลวงแย้มยิ้มแต่มิได้ทูลแก้ตัว แววตานุ่มนวลราวกับกำลังแลดูเด็กดื้อคนหนึ่ง “ในสายตาของข้าน้อยพระพันปีไม่มีวันชราตลอดกาล”
พระพันปีส่ายพระเศียรทรงพระสรวล แต่ไม่รับสั่งอะไรอีก เพียงเอื้อมมือประคองปิ่นหยกบนพระเศียร
ต่งหมัวมัวแลดูอากัปกริยาของหมอหลวงหลัวแล้วก็ทอดถอนในใจ ชีวิตนี้พระพันปีชังที่สุดคือเบื้องล่างที่ออกความเห็นตามอำเภอใจ มีแต่หมอหลวงหลัวนี่แหละจึงสามารถให้พระพันปีรู้หนักรู้เบาได้
หลังพระพันปีสางพระเกศาเสร็จแล้ว จึงคล้ายเพิ่งพบว่าเจิ้งจวินคุกเข่าอยู่ข้างหลังและยกมืออย่างงดงาม “เสี่ยวเจิ้งจื่อ ทำไมยังคุกเข่าอยู่ เจ้าเป็นคนเก่าแก่ของข้า ต่อหน้าข้าจะสำรวมเช่นนี้ไปไยกัน บัดนี้จะดีจะร้ายก็เป็นถึงขุนนางระดับสองของราชสำนักเชียวนะ”
เจิ้งจวินทูลอย่างนอบน้อมว่า “ต่อหน้าพระพันปีบ่าวย่อมเป็นบ่าวตลอดกาล บ่าวคุกเข่าให้นายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
พูดจบเขาก็หมอบลงกราบอีกแล้วจึงลุกขึ้น “พระพันปีขอรับ บุตรชายคนที่สี่ของตระกูลชิวถูกจับแล้ว พระองค์ว่า…”
พระพันปีรับสั่งเนือยๆ ว่า “เอาไปขังในห้องลงทัณฑ์ของวังหย่งหนิงก่อนเถิด คุกจ้าวอวี้มากคนมากปาก เจ้าไปเรียกตัวพวกที่เก่งทางลงทัณฑ์มาหลายๆ คน ไม่ว่าด้วยวิธีใด ให้เจ้าเด็กนั่นคายของออกมาก็ใช้ได้”
วังหย่งหนิงเป็นตำหนักวังที่สร้างขึ้นเมื่อครั้งจักรพรรดินีคนก่อนได้รับสถาปนา ใกล้ตำหนักข้างมีห้องลงทัณฑ์ กล่าวกันว่าสำหรับคุมขังคนวังที่ทำความผิด ซึ่งความจริงแล้วเป็นคุกจ้าวอวี้ขนาดเล็ก หลายสิบปีนี้มิรู้ว่ามีวิญญาณคับข้องมากน้อยเท่าใด เครื่องลงทัณฑ์นานัปการครบชุด
เจิ้งจวินติดตามพระพันปีมานานปีย่อมรู้ดี เขาลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “กราบทูลพระพันปี บ่าวเห็นว่าเจ้าชิวเยี่ยไป๋เป็นคนกระดูกแข็ง ถ้าลงทัณฑ์หนักตรงๆ เกรงว่าจะทำให้เขาจนตรอก สุนัขจนตรอกจะกระโดดกำแพงกลับมิดี สู้ให้สำนึกผิดเองจะดีกว่า”
พระพันปีฟังแล้วเหลือบทอดพระเนตรเจิ้งจวินแวบหนึ่ง เห็นเขายังคงสีหน้าระมัดระวังจึงรับสั่งว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แล้วแต่เจ้าเถิด แต่อย่างช้าที่สุดสามวันข้าต้องเห็นของที่จะได้”
เจิ้งจวินรับคำอย่างนอบน้อม “ขอรับ”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นถอยออกไป
คนสำคัญจับได้แล้วและยังสืบรู้ว่าใครก่อกวนอยู่เบื้องหลัง พระพันปีย่อมพระอารมณ์ดีเป็นธรรมดา จึงทรงแย้มสรวลต่อหมอหลวงหลัว “ประเดี๋ยวเป็นเพื่อนข้าไปเดินเล่นในอุทยานหลวงหน่อยนะ”