นางหยุดลงเล็กน้อยแล้วรับสั่งอีก “เออนี่ ส่งข่าวให้เจ้าเด็กน้อยเหมยซูหน่อย บอกว่าจับคนได้แล้ว ให้เขาพักฟื้นให้ดี อย่าให้อาการบาดเจ็บกำเริบอีก”
หมอหลวงหลัวยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะรับคำ “ขอรับ”
…
เจิ้งจวินเดินออกจากวังหย่งหนิง มองดูชิวเยี่ยไป๋ที่สองมือถูกมัดพาดที่คอยืนอย่างสงบอยู่ใกล้ประตูวัง จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปยืนสำนึกหน้ากำแพง[1]ห้องลงทัณฑ์”
สำนึกตัวหรือ
“นี่เป็นการลงโทษต่อข้าผู้เป็นราษฎรที่พระพันปีประทานหรือ” ชิวเยี่ยไป๋อดเลิกคิ้วด้วยความตระหนกเล็กน้อยมิได้
สำนึกตัวก็เป็นการลงทัณฑ์อย่างหนึ่งหรือ
เจิ้งจวินแลดูนาง ดวงตาคู่เรียวยาวฉายประกายที่มิรู้ความหมายวูบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างหยามเหยียดว่า “ชิวเยี่ยไป๋ เจ้าจงอย่าได้ดูเบาการสำนึกตัว ลองรสชาติดูเถิด”
พูดจบเขาก็โบกมือ องครักษ์เน่ยเจียนหลายคนก็คุมตัวชิวเยี่ยไป๋ไปที่ห้องลงทัณฑ์ใกล้ตำหนักข้าง
ดวงตาเป๋าเป่าฉายแววกังวลวูบหนึ่ง แต่บัดนี้เขาปลอมตัวเป็นองครักษ์เน่ยเจียนที่มีฐานะธรรมดา ย่อมตามไปด้วยมิได้ จึงได้แต่เบิกตามองชิวเยี่ยไป๋ถูกพาตัวไป
จนกระทั่งหลังเข้าห้องลงทัณฑ์แล้ว ในที่สุดชิวเยี่ยไป๋ก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือการ ‘สำนึกตัว’ และทำไม‘การสำนึกตัว’ จึงเป็นการลงทัณฑ์ประเภทหนึ่ง
เทียบกับเครื่องลงทัณฑ์ประเภทขัดถูลากไส้เต็มห้องลงทัณฑ์แล้ว การลงทัณฑ์ชนิดนี้ดูแล้วสุภาพกว่า
คือเป็นการนำคนไปไว้ในห้องศิลามืดทึบห้องหนึ่ง ในนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากผนังศิลาแข็งเย็นสี่ด้านแล้ว ไม่มีโต๊ะไม่มีเก้าอี้ม้านั่งไม่มีเตียง แม้แต่หน้าต่างก็ไม่มีสักบาน ตรงกำแพงมีเพียงกระโถนใบหนึ่ง หลังเข้าไปปิดบานประตูศิลาแล้ว ก็มีแต่ความมืดมนอนธกาล
จงอย่าคิดว่านี่เป็นการลงโทษที่สบายไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะคนที่ถูกขังในห้องจะไม่รู้วันรู้คืน ถูกตัดขาดจากภายนอกมีแต่ความมืดไม่สิ้นสุด พอนานเข้าอาจทำให้กลายเป็นบ้าหรือโง่ไปเลยก็ได้
ชิวเยี่ยไป๋แลดูความมืดทั้งห้อง ก็รู้ว่าเมื่อชาติก่อนก็เป็นวิธีลงทัณฑ์บีบให้สารภาพวิธีหนึ่ง
นางรู้ว้าถ้ายิ่งลนลานแรงกดดันในใจก็จะยิ่งมาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามนี่ยังคงเป็นการลงทัณฑ์ที่ค่อนข้างนุ่มนวลประเภทหนึ่ง อย่างน้อยสำหรับคนฝึกวิทยายุทธ์ก็เป็นเช่นนี้
นางคลำทางนั่งลงชิดผนังและเริ่มเข้าสมาธิ
ระหว่างเดินลมปราณหายใจเข้าออก เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชิวเยี่ยไป๋ประมาณเวลาการเดินลมปราณของตนเองน่าจะราวสามชั่วยาม ถ้าเช่นนั้นบัดนี้ก็ล่วงไปสามชั่วยามแล้ว นางคลายไหล่ที่ออกจะแข็งเกร็งอยู่บ้าง ตัดสินใจจะลองเดินดู เห็นรอบด้านมีแต่ความมืดมิด นางออกจะเสียใจอยู่บ้างที่มิได้พกอะไรที่ส่องสว่างได้ติดตัวเลย ตะบันไฟถูกยึดไปแล้วตอนค้นตัวก่อนส่งเข้ามา
ดังนั้นนางจึงคลำผนังลุกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เดินเลาะตามผนัง แต่พอถึงมุมหนึ่งของห้อง นางพลันรู้สึกถึงความไม่ปกติ ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ที่มุมผนัง
นางยื่นมือคลำดูก็คลำถูกของสิ่งหนึ่งที่เย็นเยียบ จึงรีบชักมือกลับตามสัญชาตญาณ…นั่นเป็นมือคน
มือศพที่เย็นเยียบ
เนื่องจากตอนเข้ามาในห้องนางไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าในนี้จะมีคนหรือมีซากศพใดๆ อยู่ สำหรับเรื่องนี้นางเชื่อสัมผัสที่เฉียบคมของผู้ฝึกวิทยายุทธ์เช่นนาง
แต่ในห้องขังบัดนี้จู่ๆ ก็มีซากศพปรากฏขึ้น
นางตั้งสติ นึกถึงแววตาเย็นชาของเจิ้งจวินแล้วจึงค่อยๆ เดินต่อไป นางอยากจะแน่ใจว่าที่มุมนั้นมีซากศพร่างหนึ่งจริงหรือไม่ ถ้าเป็นความจริงก็น่าจะเป็นฝีมือของเจิ้งจวินเสียแปดเก้าส่วนในสิบส่วน
แต่จะอาศัยซากศพร่างหนึ่งมาข่มขวัญนางก็เป็นเรื่องน่าหัวร่อเกินไป
ชิวเยี่ยไป๋คลุกคลีในยุทธจักรมานานปี สองมือใช่ว่าจะมิเคยเปื้อนคาวเลือด ดังนั้นนางจึงร้องเชอะเบาๆ แล้วคลำไปข้างหน้าอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้…
ศพหายไปแล้ว
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋ขนลุกซู่
หรือเป็นซากศพที่เคลื่อนไหวได้
ศพนั้นหายไปหรือว่านางรู้สึกหลอนกันแน่
แม้นางจะยำเกรงต่อธรรมชาติ แต่ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ผีสาง
ชิวเยี่ยไป๋หลับตามิให้ความมืดมิดที่เย็นเยือกมีผลต่อประสาทสัมผัสของตน จากนั้นเอื้อมมือดึงปิ่นปักผมบนศีรษะกำไว้ในมือ แล้วค่อยๆ คลำตามผนังสู่มุมห้องนั้นอีกครั้ง
ปิ่นอันหนึ่งในมือของคนธรรมดากับอยู่ในมือของผู้มีวิทยายุทธ์สูงล้ำมีอานุภาพการฆ่าฟันต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางเชื่อว่าหากอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตจะฆ่านางไม่ได้ และต่อให้นางไม่เอาชีวิตของเจ้าสิ่งนั้น อย่างน้อยก็ใช้ป้องกันชีวิตตนเองได้
นางพยายามไม่ให้มีสุ้มเสียงและคลำต่อไปช้าๆ
แต่จนกระทั่งคลำถึงมุมผนัง ที่มือสัมผัสถูกนอกจากเป็นผนังชื้นแฉะเย็นเยียบและมีกลิ่นราอับแล้วก็ไม่มีอะไรเลย!
มือของชิวเยี่ยไป๋ชะงักแต่เท้ามิได้หยุดลง ยังคงคลำต่อไปสู่อีกมุมหนึ่ง เสากลมพื้นเหลี่ยมเป็นหลักการพื้นฐานของการก่อสร้าง ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าอีกสามมุมไม่มีอะไรก็พอแล้ว
ทว่า มุมที่สองของห้องก็ไม่มีอะไร มุมที่สามก็ไม่มีอะไรเช่นกัน
ชิวเยี่ยไป๋ยืนที่มุมที่สี่ของห้อง นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ย้อนนึกถึงตอนถูกผลักเข้ามาในห้อง อาศัยแสงภายนอกเล็กน้อยเห็นสภาพภายใน เนื่องจากเป็นห้องขัง จึงต้องสร้างให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจ ดังนั้นห้องจึงมีขนาดไม่ใหญ่ มุมห้องทั้งสี่ไม่มีคน ระหว่างที่นางคลำทาง นางแน่ใจอย่างยิ่งว่ามิได้รู้สึกถึงสิ่งใดและอาจเป็นความรู้สึกหลอนของนางเองจริงๆ กระมัง
นางหัวร่อเบาๆ คราหนึ่ง ถอนใจเบาๆ คล้ายถากถางตนเอง “จริงๆ เลยนะ แค่ถูกขังไว้ครึ่งวันก็เกิดอาการหลอนแล้วหรือ”
ความรู้สึกด้านจำแนกทิศทางของนางไม่สู้ดีนัก ดังนั้นยามนี้นางจึงได้แต่คลำตามผนัง ค่อยๆ กลับไปที่เดิมที่นางเคยนั่ง ถึงอย่างไรตรงนั้นก็เป็นที่ที่ปูฟางไว้หนาที่สุด
แต่ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหยุดเท้า เพราะนาทีนี้เองจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าข้างหน้ามีไอเย็นโถมเข้าใส่
ไม่รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ ของลมหายใจ ไม่มีอุณหภูมิร่างกายของใครเลย ท่ามกลางความมืดมิด นางมองไม่เห็นสิ่งใดๆ เบื้องหน้า ทว่า…สัญชาตญาณที่มีแต่กำเนิดบอกว่าข้างหน้ามีบางสิ่งบางอย่าง
นางยกแขนขึ้นช้าๆ แล้วออกแรงในบัดดล ปิ่นในมือทิ่มใส่เบื้องหน้า
ฟิ้ว! เสียงแหวกอากาศดังขึ้น
แต่นอกจากแรงที่ทิ่มแหวกอากาศแล้ว นางไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีแรงต้านใดๆ
ชิวเยี่ยไป๋ทิ่มไม่โดนก็อดครุ่นคิดมิได้ นางรวดเร็วพอ แต่ยังคงแทงไม่ถูกอะไรเลย
แต่คราวนี้นางมิได้ผ่อนคลายลง กล้ามเนื้อทั้งตัวแข็งเกร็ง ถอยหลังอย่างรวดเร็วคิดจะพิงกับผนัง
นางแน่ใจว่าในห้องมีบางสิ่งบางอย่าง แม้นางยังไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่ย่อมมิใช่ในสิ่งที่ดีแน่ และได้เห็นชัดว่าการจู่โจมของนางทั้งสองครั้งไม่โดนฝ่ายตรงข้าม น่าจะเพราะในห้องมีกลไกหรือไม่ก็อีกฝ่ายฝีมือกล้าแข็งกว่านาง แต่ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม การจะเผชิญกับการจู่โจมที่คาดหมายมิได้ ยังคงต้องพิงมุมผนังก่อน นี่เป็นท่วงท่าพื้นฐานของการป้องกันตัว สามารถป้องกันด้านหลังและรับมือเฉพาะด้านหน้า
——
[1] เป็นการทำโทษประเภทหนึ่ง โดยให้ยืนหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกความผิด