โจวอวี่อึ้งไปแลดูชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่เข้าใจ ร้องลั่นว่า “สืบคดีจะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
เป๋าเป่าแววตาหยามหยัน กล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “นั่นน่ะสิ ให้พวกเขากินเหล้าเคล้านารี ต่อยตี หลอกเอาเงินยังเป็นไปได้มากกว่า!”
ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ ว่า “เรื่องนี้อาจเป็นไปได้และอาจเป็นไปมิได้”
แม้ตนเองจะไม่ชอบพวกอันธพาลตัวน้อยของกองคั่นเฟิง แต่นางก็เป็นถึงขุนนางระดับสี่ ถ้ากองคั่นเฟิงถูกยุบ นางเองก็เท่ากับตำแหน่งลอย เกรงว่าถึงเวลานั้นคงถูกเหยียบซ้ำ
ที่สำคัญคือ นางมักรู้สึกว่าเรื่องนี้มีความนัยพิกล ดูเหมือนมิใช่แค่ให้นางได้ตำแหน่งลอยก็จบสิ้น ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือต้องทำให้กองคั่นเฟิงไม่โดนยุบ
ชิวเยี่ยไป๋เพิ่งจะรื้อข้อมูลของคดีออกมา ยังไม่ทันได้ดู จู่ๆ ในวังก็มีราชโองการมาถึง
พระพันปีเรียกตัวชิวเยี่ยไป๋เข้าเฝ้า
ชิวเยี่ยไป๋แปลกใจ แต่ดูเหมือนจะมองอะไรออก จึงรับราชโองการอย่างครุ่นคิด
ขณะราชโองการมาถึง ขันทีใหญ่ที่มีตำแหน่งหัวหน้ากับบรรดาขันทีอื่นๆ ต้องออกไปรับราชโองการ ดังนั้นเจิ้งจวินจึงอยู่ด้วย แต่ชิวเยี่ยไป๋ดูสีหน้าเขาไม่ออก นึกด่าในใจว่า ไอ้จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์!
จากนั้นนางก็กลับห้อง เตรียมตัวติดตามขันทีอัญเชิญราชโองการเข้าวัง
นี่เป็นการเข้าวังครั้งแรกของนาง ตลอดทางเห็นแต่กำแพงวังสูงตระหง่าน หอเก๋งศาลาเรียงรายตระการตา หลังคาผลึกแก้วสะท้อนแสงวิบวับ ความรู้สึกเหมือนวังมหึมานี้เป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ มีเกล็ดและขนงดงามที่สุดในแผ่นดิน แต่กลับเป็นสัตว์กินคน
ขันทีที่ทำหน้าที่นำทางใบหน้าทาแป้งขาววอก สีหน้าไร้อารมณ์เหมือนหุ่นไม้ แต่กลิ่นอายยโสโอหังกระจายทั้งตัว ไม่เคยมองชิวเยี่ยไป๋เลยสักครา เพียงทิ้งคำพูดไว้อย่างเย็นชา
“ใต้เท้าเพิ่งเข้าวังครั้งแรก พึงรู้ว่าในวังมีกฎระเบียบเข้มงวด ห้ามเงยหน้า ห้ามเหลียวหลังแลหน้า ถ้าเกิดขัดสายตาของผู้สูงศักดิ์ มีหวังหลุดจากตำแหน่งแถมด้วยการประหารทั้งครอบครัว ใครก็ช่วยรับประกันไม่ได้”
เห็นป้ายแขวนเอวของขันทีผู้นั้นเขียนคำว่า ‘หนิง’ ชิวเยี่ยไป๋ก็ลอบร้องเหอะในใจ ดูท่าวังหนิงโซ่ววางก้ามน่าดูชม ไม่เพียงมีอำนาจจัดการกับขุนนางทั้งปวง แม้แต่ขี้ข้าคนหนึ่งยังยโสเช่นนี้
ดูจากท่าทางของขันทีคนนี้แล้ว นางนึกในใจว่าที่พระพันปีเรียกให้เข้าเฝ้าคงมิใช่เรื่องดีแน่
แต่เดินไปไม่กี่ก้าว ขันทีคนนั้นพลันชะงักฝีเท้า ชิวเยี่ยไป๋ที่ก้มหน้าอยู่แววตาเย็นเยือก ลอบระวังตัว ในวังมีเล่ห์ร้ายมากมาย นางต้องระวังป้องกันตนเองให้ได้
แต่เวลาต่อมาขันทีผู้นั้นพลันคุกเข่าลง เสียงเคารพนบนอบมีแววสั่นเครือ “บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน เงยหน้าขึ้นมองพบว่าเส้นทางเข้าวังอันเยือกเย็นสลัว มิทราบมีเงาร่างสีแดงตั้งแต่เมื่อใด ลมเย็นพัดเอาชายเสื้อยาวพลิ้วไหวราวกับหยาดเลือดที่แข็งตัวกำลังเคลื่อนไหว
องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนในชุดขาวเสื้อคลุมดำสี่คนสีหน้าไร้ความรู้สึกยืนอยู่ข้างหลังร่างนั้น
สมองนางหมุนเร็วจี๋ หรือว่าเป็นไป๋หลี่ชูอยากพบตน
แต่อย่างรวดเร็วนางก็ปฏิเสธความคิดนี้ ถ้าไป๋หลี่ชูต้องการพบตน ไม่เห็นจะต้องอ้างราชโองการ และเห็นได้ชัดว่าขันทีคนนี้กลัวไป๋หลี่ชูสุดขีด ไม่เหมือนเป็นคนของไป๋หลี่ชู!
ไป๋หลี่ชูกวาดตามองดูขันทีที่คุกเข่ากับพื้น “เจ้าจะพาคนไปพบพระพันปีหรือ”
ขันทียิ่งฟุบกายต่ำลง “กราบทูลองค์หญิง ข้าน้อยกำลังจะนำใต้เท้าเข้าเฝ้าพระพันปี”
ไป๋หลี่ชูพยักหน้า แลดูชิวเยี่ยไป๋แวบหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากกล่าวว่า “อ้อ ในเมื่อเป็นคนที่พระพันปีต้องการพบ ข้านำไปก็แล้วกัน!”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูคนผู้นั้นแล้วนึกชมในใจว่า อหังการจริงๆ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหากเจ้ามิใช่คนที่พระพันปีอยากพบ ข้าก็คร้านจะยุ่งเกี่ยวด้วย!
ขันทีผู้นั้นตัวแข็ง แล้วคล้ายยังอยากดิ้นรนเฮือกสุดท้าย แต่ในที่สุดยังคงก้มกราบ “น้อมรับบัญชา!”
ชิวเยี่ยไป๋นึกขัน ดูท่าไป๋หลี่ชูมิใช่ทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าจงใจทำให้พระพันปีเสียหน้า!
ขณะที่เป็นมิตรหรือศัตรูยังมิรู้แจ้งนี้ สถานการณ์ยากจะหยั่งคะเน นางลอบคิดว่าการไปกับคนจิตวิปริต มิสู้ตามขันทีไปยังสถานที่ซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดยังจะประเสริฐกว่า
ดังนั้น นางจึงก้าวเท้าถึงข้างกายอย่างมิแข็งขืนเป็นครั้งแรก
เห็นชิวเยี่ยไป๋อยู่ข้างกายตน มุมปากไป๋หลี่ชูปรากฏรอยยิ้ม กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เสี่ยวไป๋ ไม่เจอะกันหลายวัน เจ้าโง่เง่าไปหน่อยแล้ว”
“…อะไรคือโง่เง่าไปหน่อย” ชิวเยี่ยไป๋ทวนคำ
นางฉลาดออกจะตายมิใช่หรือ
ไป๋หลี่ชูกล่าว “เพราะเจ้าไม่ถึงกับโง่เง่าทั้งหมด ยังรู้จักติดตามข้าไป”
ชิวเยี่ยไป๋ตอบ “ฝ่าบาท ต่อให้ข้าไม่อยากไปด้วย ก็คงมิได้กระมัง”
ขันทีน้อยลอบชื่นชมในใจ ไม่ แม้แต่พระพันปีก็ยังต้องชื่นชม
ไป๋หลี่ชูยิ้มน้อยๆ “อืม ก็ยังดี เจ้าไม่ถึงกับโง่เง่าไปเสียหมด คนโง่เง่ารสชาติไม่ดี”
“…” ชิวเยี่ยไป๋ถึงกับต่อความไม่ออกในครานี้
ที่ว่าคุยกันไม่ถูกคอพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
ทั้งสองเดินช้าๆ ตลอดทางไร้วาจา นางรู้สึกว่าบรรยากาศออกจะพิกล ชิวเยี่ยไป๋จึงถือโอกาสนี้พินิจพิเคราะห์ไป๋หลี่ชูเสียเลย เห็นอาภรณ์ของเขาประณีตเป็นพิเศษ แต่เป็นรูปแบบที่สวมใส่ได้ทั้งบุรุษและสตรีที่เสื้อหลวมแขนเสื้อกว้าง คล้ายที่นิยมกันในยุคราชวงศ์เว่ยและจิ้น ยามเดินเหินโอ่อ่าพลิ้วไหวราวสายน้ำ องอาจเป็นธรรมชาติ แม้นางไม่ได้ชื่นชมแต่ก็ต้องยอมรับว่า ความมีสง่าราศีดูเหมือนตนจะสู้เขามิได้ จึงออกจะอึดอัดอยู่บ้าง
“คิดอะไรอยู่หรือ” ไป๋หลี่ชูถาม โดยมิได้หันมามองนาง
แม้จะถูกจับได้ว่ากำลังแอบมอง ชิวเยี่ยไป๋กลับมิได้หน้าแดง ตอบเนือยๆ ว่า “ข้าน้อยกำลังคิดว่า ฝ่าบาทจะพาข้าน้อยไปที่ใด”
เส้นทางนี้รกร้างจริงและปราศจากผู้คน
ไป๋หลี่ชูหยุดเท้า ก้มลงมองนาง “เจ้ากลัวเป็นด้วยหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตา “ข้าน้อยก็เป็นคน ย่อมรู้จักกลัว”
ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ ดวงตาเย็นเยือกมีประกายคล้ายเปลวเพลิงแวบหนึ่ง “ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงคิดว่าที่นี่เหมาะให้เจ้ากับข้าจะทำอะไรบางอย่าง จึงพามาก็เท่านั้น”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน จากนั้นจึงสังเกตพบว่าองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนทั้งสี่คนถอยไปไกลแล้ว
ชิวเยี่ยไป๋พลันตื่นตัว นางเบี่ยงกายออกเล็กน้อย “ที่นี่หรือ”
กฎเกณฑ์ย่อมเป็นกฎเกณฑ์วันยังค่ำ โดยทั่วไปคนที่กุมอำนาจใหญ่โตมักมีกฎเกณฑ์ของตนเอง เช่นพิธีกรรมบางอย่าง ตัวอย่างเช่นสุนัขตัวผู้เวลาจะปัสสาวะย่อมต้องยกขาขึ้นข้างหนึ่ง บุรุษผู้นี้เป็นโรคกลัวสิ่งสกปรกอย่างหนัก ย่อมต้องพิถีพิถันกับการกิน ไม่เช่นนั้นครั้งที่แล้วตอนขากลับคงไม่รังเกียจว่าในเลือดของตนมีสุราทำให้เสียรสชาติ