สิ่งใดก็ตามถ้าตรงข้ามกับปกติวิสัยย่อมพิลึกพิลั่น
ไป๋หลี่ชูแลดูบุรุษเยาว์วัยเบื้องหน้า แม้ท่าทางจะยังเป็นปกติแต่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความเครียด ขนตางอนยาวของเขาหลุบลงน้อยๆ ทิ้งประกายอ่อนจางแวบหนึ่งที่หางตา “กลัวข้าหรือ หืม?”
ชิวเยี่ยไป๋ละสายตาจากขนตางอนยาวของเขา กล่าวอย่างมิหวั่นเกรงว่า “ฝ่าบาทเป็นผู้สูงศักดิ์ ข้าน้อยย่อมเกรงกลัว”
นางพลันรู้สึกว่าอากาศเบื้องหน้าคล้ายเคลื่อนไหวเล็กน้อย สีแดงที่เหมือนสายน้ำพลิ้วไหวคราหนึ่ง นางจึงถอยไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณและแล้วก็ได้ยินเสียงหัวร่อเบาๆ
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาผู้นั้นยังยืนอยู่กับที่ นางยืนนิ่งพูดไม่ออก
ไอ้หมอนี่จงใจแกล้งนาง!
แต่จะว่าไปแล้ว นางจะตื่นเต้นไปไย คงเพราะพลานุภาพของเขาที่หอไจซิงเมื่อคราก่อนแรงเกินไป กดดันจนแทบหายใจไม่ออก นางไม่ชอบความรู้สึกหายใจไม่สะดวกเช่นนั้น
ชิวเยี่ยไป๋ถลึงตาใส่คราหนึ่ง ด้วยนึกไม่ถึงว่าอากัปกริยานี้อีกฝ่ายกลับเห็นเป็นอาการบางอย่าง
อาทิเช่น…กำลังงอน
ไป๋หลี่ชูแลดูคนที่อยู่เบื้องหน้ากำลังจ้องมองตนอย่างเย็นชา ดวงตาคมวาวราวสายน้ำดูกลมโตกว่าเดิมเพราะการถลึงตา หัวตาของนางออกจะแหลมสักหน่อย นัยน์ตาเป็นสีน้ำตาลคล้ายกับสัตว์ป่าที่ทระนงอหังการบางชนิด เจือด้วยแววตาท้าทายและไม่ยินยอม
ดวงตาอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งของไป๋หลี่ชูฉายแวววิบวับ ปลายนิ้วไล้ไปตามหางตาของนาง รู้สึกว่าผิวผุดผ่องเรียบลื่นนั้นเขม็งเกร็ง เขากล่าวเสียงวังเวงว่า “อย่ามองคนเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนอยากจะ…”
กลืนกินหรือไม่ก็ยึดครองความงดงามนี้มาเป็นของตน
เขาเก็บนิ้วเรียวเสลาของตนกลับคืน แล้วหมุนกายกลับไป
ชิวเยี่ยไป๋เห็นไป๋หลี่ชูจ้องตนอย่างพิกลครู่หนึ่ง แล้วหันกายยกมือโบกอย่างสง่างาม
ทันใดนั้นเองม่านเถาวัลย์สีเขียวผืนใหญ่ก็ถูกแหวกออก ชิวเยี่ยไป๋ตกใจที่เห็นรอยแหวกกว้างขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายปรากฏเป็น…ประตูบานหนึ่ง
นางคิดว่าตนเองช่างโง่งมจริง ที่นี่เดิมทีก็เป็นประตูบานหนึ่ง เพียงมีเถาวัลย์ปกปิดไว้อย่างมิดชิด กำแพงวังข้างประตูก็มีเถาวัลย์เกาะเต็มไปหมด จึงทำให้ดูแล้วเป็นเนื้อเดียวกันและมองไม่ออกว่าเป็นประตู
อันที่จริงใช่ว่าจะดูไม่ออกเสียทีเดียว เพียงแต่เมื่อครู่สมาธิทั้งมวลของนางจดจ่อที่ไป๋หลี่ชูจึงไม่ทันสังเกต
ชิวเยี่ยไป๋เห็นด้านในประตูมีองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนชุดขาวเหมือนเดิมแปดคน พวกเขาล้วนสวมถุงมือเบาบางที่ถักด้วยใยทองคำ บนมือแต่ละคนวางสิ่งของบางอย่างเอาไว้…เสื้อชั้นนอก กางเกงชั้นนอก รองเท้า ยังมีอ่างน้ำและเครื่องหอม
นางมองดูสิ่งของเหล่านี้อย่างแปลกใจ “ทั้งหมดนี้ให้ข้าหรือ…”
หรือเกรงว่าอีกสักครู่กรีดเลือดนางแล้วทำเอาอาภรณ์แปดเปื้อน จึงได้เตรียมไว้ก่อน
องครักษ์หน้าตาดีแต่อายุมากหน่อยคนหนึ่ง ก้าวออกมากล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ใต้เท้าเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกจึงมิทราบ ตามกฎเกณฑ์ในวัง ใครก็ตามที่จะเข้าเฝ้าในตำหนักกวงหมิง ล้วนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างมือให้สะอาด”
ชิวเยี่ยไป๋ตะลึงงัน จึงรู้ว่าตนคิดมากไปแล้ว ที่แท้นี่ก็เป็นถิ่นของเขา คงเป็นทางเข้าของตำหนักใดตำหนักหนึ่ง
นางกวาดตาแลดูข้าวของที่สลักเสลาอย่างงดงามในนั้น แลเหลือบเห็นเถาวัลย์ที่รกชัฏจนน่าพิศวง ความหรูหรากับความรกร้างตัดกันอย่างชัดเจน ทำให้ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าคงมีแต่คนจิตวิปริตเช่นไป๋หลี่ชูเท่านั้น จึงได้มีรสนิยมพิสดารเช่นนี้
“ใต้เท้า?” องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนผู้นั้นเอ่ยเรียกอีกครั้ง
ชิวเยี่ยไป๋มองไป๋หลี่ชู เห็นเขาเข้าประตูไปแล้ว สองแขนกางออกอย่างสง่า องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสี่คนรีบล้อมเข้าไป สองคนก้มลงกับพื้นช่วยเปลี่ยนรองเท้าแพรถักสีดำ อีกสองคนใช้ฝีมือที่รวดเร็วมากแต่ไม่
ลุกลน ช่วยล้างมือให้ไป๋หลี่ชูและเปลี่ยนเสื้อคลุมเป็นสีแดงเข้มกว่าเดิม
นางลังเล แต่ยังคงแช่มือลงในอ่างน้ำที่มีกลีบบุปผาลอยฟ่องโดยไม่ต้องให้ใครมารับใช้ แล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยทำเองได้”
นางล้างมือจนสะอาด มองดูองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนที่เตรียมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง ขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “ที่นี่มีห้องแต่งตัวไหม ข้าน้อยไม่ชินกับการมีผู้รับใช้”
ไป๋หลี่ชูเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เลิกคิ้วถามว่า “ไม่ชิน?”
ชิวเยี่ยไป๋ตอบ “…ไม่ชินอย่างมาก”
เห็นสีหน้าส่อแววรังเกียจนั่นของเขา อย่าว่าแต่ตัวข้าที่เป็นสตรีเลย นอกจากเจ้าผู้เป็นโรคกลัวสิ่งสกปรกระยะสุดท้ายแล้ว มีใครบ้างที่เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าประตูกลางวันแสกๆ เช่นนี้!
ไป๋หลี่ชูไม่สนใจ มองดูหัวหน้าองครักษ์ค่งเฮ่อเจียน “ซวงไป๋” แล้วก็เข้าประตูตำหนักไป
ชิวเยี่ยไป๋เห็นองครักษ์ค่งเฮ่อเจียนหน้าตาดีผู้นั้นกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ใต้เท้าเชิญทางนี้”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าแล้วตามซวงไป๋เข้าประตูตำหนัก มองดูเงาหลังของซวงไป๋ นางลอบนึกในใจ องครักษ์ข้างตัวของไป๋หลี่ชูมิใช่เรียกเป็นหมายเลขตามลำดับตั้งแต่อีไป๋ (ขาวหนึ่ง) จนถึง xx ไป๋หรือ
นางพลันนึกขึ้นได้ว่าชื่อของตนก็มีคำว่าไป๋ คนผู้นี้จึงเรียกตนว่า ‘เสี่ยวไป๋’ พลันรู้สึกพิกลเหมือนถูกใครประทับตราไว้บนตัว
ข้างประตูตำหนักเป็นห้องขนาดเล็ก ซวงไป๋เปิดประตูห้องให้พวกองครักษ์ที่ถือข้าวของเข้าไปก่อน แล้วจึงกล่าวว่า “ใต้เท้า เชิญ”
หลังชิวเยี่ยไป๋เข้าไปแล้ว กวาดตาดูการตกแต่งในห้อง สะอาดประณีต เช่นเดียวกับรสนิยมของไป๋หลี่ชู ไม่มีอะไรผิดแปลก ลองตรวจดูเสื้อผ้าเหล่านั้นจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาแล้ว นางจึงถอดเสื้อชั้นนอกอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนชุดใหม่
แม้เมื่อครู่การเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ประตูก็แค่เปลี่ยนชุดชั้นนอกกับกางเกงชั้นนอก ชุดชั้นกลางกับชุดชั้นในมิต้องถอด แต่นางนึกถึงว่ามีบุรุษกลุ่มหนึ่งยืนมองดูนางเปลี่ยนเสื้อผ้า ย่อมรู้สึกทนไม่ได้!
จนกระทั่งนางเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วออกมา ไป๋หลี่ชูกับคนของค่งเฮ่อเจียนก็ไม่เหลือแม้แต่เงา ทิ้งให้ซวงไป๋รออยู่ที่ประตูคนเดียว
นางฉวยโอกาสเหลียวมองรอบกาย ที่นี่น่าจะเป็นประตูด้านข้าง เพราะห่างไปราวร้อยเมตรจึงจะเห็นด้านข้างอันตระการตาของตัววัง ระหว่างที่นี่กับที่นั่นคั่นด้วยบึงน้ำ เหนือบึงเป็นสะพานเก้าหยักที่ซึ่งสลักด้วยหยกขาว ประดับด้วยต้นไม้สูงค่าริมบึง กิ่งใบเขียวชอุ่มรับฤดูร้อน ทำให้ร่มรื่น ดูแล้วสบายตา
ทว่า…สำหรับทางออก ดูเหมือนจะมีอาคารหลังเดียวที่ทอดมาถึงประตูข้าง บึงน้ำค่อนข้างกว้างใหญ่ ถ้าไม่มีจุดหยั่งเท้า ต่อให้วิชาตัวเบาสูงล้ำเพียงใด ก็ยากจะเหินข้ามไปได้ในอึดใจเดียว ดังนั้นแค่เฝ้าสะพานไว้ให้ดีก็รักษาได้ง่ายแต่หนีได้ยาก
ซวงไป๋เห็นบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าเหลียวมองรอบๆ คล้ายกำลังชมทิวทัศน์ แต่ดวงตาคู่สวยกลับลอบทอประกายเย็นเยียบพิกล
ซวงไป๋แววตาสาดประกายวิบวับ ถึงจะไม่คุ้นสถานที่ ก็ยังสังเกตทางเข้าออกไว้คำนวณทางหนีทีไล่เพื่อความปลอดภัย ช่างเป็นคนที่สุขุมรอบคอบเสียจริง
เขายิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ใต้เท้า โปรดตามข้าไป”
ชิวเยี่ยไป๋ตามเขาไปที่สะพานเก้าหยัก ถามลอยๆ ว่า “ทำไมองครักษ์ที่ติดตามฝ่าบาทชูจึงไม่ได้เข้ามาพร้อมพวกเรา”