จากนั้นเขาก็เก็บสายตาคืนกลับ ปล่อยให้ขันทีประจำตัวสวมเสื้อผ้าและสางผมอย่างระมัดระวังต่อ
ชิวเยี่ยไป๋แววตาเย็นเยียบ อยากพูดอีกแต่เห็นมือของขันทีแตะที่เอวของไป๋หลี่ชูแล้วดึงขอบกางเกง ปรากฏเงาสีขาววูบวาบ นางรีบหลับตาลงและหุบปากหันกายออกจากตำหนัก ลมเย็นพัดใส่วูบหนึ่งนางจึงค่อยคลายใจ
ซวงไป๋ยืนรอที่ประตู เห็นนางออกมาเค้าหน้าขาวผ่องมีแววสีชมพูระเรื่อ แววโกรธในตายังไม่จางหาย ยิ่งขับเน้นความคมของดวงตาและนึกยกย่องการเลือกของเจ้านายตนเองอีกครั้ง
และตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นแมงดาผู้ภักดี
เขากล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ใต้เท้า วันนี้แดดแรงอากาศร้อน ต้องดูแลสุขภาพนะขอรับ ห้องหับที่ร่มเย็นเตรียมไว้พร้อมแล้ว ข้าน้อยยังคงนำทางใต้เท้าไปพักผ่อนและดื่มอะไรเย็นๆ สักหน่อยดีกว่า”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางของซวงไป๋ ก็เข้าใจโดยพลันว่าที่ไป๋หลี่ชูดักนางกลางทางนี้คงวางแผนไว้ก่อนแล้ว นางหมดหนทางที่จะปฏิเสธ
นางหลุบตาลง ครุ่นคิดคำนวณในใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแย้มอยากอ่อนโยนพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ลำบากใต้เท้าซวงไป๋แล้ว”
“หามิได้” ซวงไป๋พยักหน้า คนที่เขาชื่นชมว่ารู้ความ คิดว่าฝ่าบาทเองก็คงจะชื่นชมยิ่งกว่า
จากนั้นเขาจึงเดินนำชิวเยี่ยไป๋เข้าสู่ตำหนักหลัง
ระยะทางมิได้ไกลนัก เป็นห้องห้องหนึ่งในตำหนักหลังซึ่งเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดินีเจิ้นหยวนผู้เป็นที่โปรดปรานมิมีใดเทียม ไม่ว่าจะเป็นห้องใดล้วนตกแต่งอย่างวิจิตร ห้องที่จัดไว้ให้ชิวเยี่ยไป๋ก็เช่นเดียวกัน
โต๊ะหนังสือ ตั่งเตียง หิ้งวางเครื่องประดับ โต๊ะประดับลายสำหรับรับแขกและเสื้อผ้าล้วนทำจากไม้หอมม่วงสีเดียวกัน แม้ข้าวของเครื่องใช้จะดูเก่าแก่สักหน่อย แต่เข้าไปในห้องยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมจางๆ บนผนังแขวนภาพเขียนและลายมือพู่กันของผู้มีชื่อเสียง ม่านแพรมุกห้อยระย้าคั่นห้องให้กลายเป็นห้องรับแขกขนาดเล็กกับห้องนอน
หน้าต่างริมบึงเปิดอ้า มองออกไปก็จะเห็นระลอกน้ำยามสายลมพัดโชย
ถ้ากล่าวถึงสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียวแล้ว สถานที่นี้ต้องตามรสนิยมของนางที่สุด
ซวงไป๋สั่งคนนำถ้วยน้ำแข็งมา ชิวเยี่ยไป๋นั่งลงริมหน้าต่างพลางครุ่นคิด คงหาวิธีออกจากที่นี่ทันทีมิได้เป็นการชั่วคราว พระราชวังย่อมมิใช่สถานที่ที่นางจะไปจะมาได้ตามใจชอบ และวันนี้นางขัดคำสั่งเข้าเฝ้า ถ้าจากไปในลักษณะนี้ คงยุ่งยากโดยไม่จำเป็นแน่ ไว้รอดูไป๋หลี่ชูเล่นกลอะไรก่อนค่อยว่ากัน
…
ส่วนทางฝ่ายซวงไป๋ หลังสั่งให้คนนำเสื้อผ้าที่ต้องใช้ผลัดเปลี่ยนและของว่างไปให้ชิวเยี่ยไป๋แล้ว ก็รีบไปรายงานต่อตำหนักหน้า
“จัดแจงเสร็จแล้วหรือ” ไป๋หลี่ชูกำลังเอนกายอ่านหนังสือบนตั่งหยก สวมใส่ชุดแพรบางเบาหลวมโคร่งสีชมพู ผมดำขลับรัดด้วยมงกุฎทองคำเลี่ยมอัญมณีอันน้อยและไม่เกล้าเป็นมวย ปล่อยให้ปลายผมสยายที่แผ่นหลัง ท่าทางสบายอารมณ์
“กราบทูลฝ่าบาท จัดแจงให้ใต้เท้าชิวเรียบร้อยครบถ้วนทุกอย่างแล้วขอรับ” ซวงไป๋ประสานมือคารวะ
ไป๋หลี่ชูเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เป็นอย่างไร”
ซวงไป๋ผงกศีรษะกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “แม้บ่าวจะเพิ่งพบกับใต้เท้าชิวเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้สึกว่าใต้เท้าชิวบุคลิกไม่ธรรมดา เป็นคนละเอียดเฉียบไวและโดดเด่น”
ไป๋หลี่ชูใช้เข็มเงินจิ้มขนมเปี๊ยะเขียวมรกตชิ้นหนึ่งเข้าปาก ไม่รับคำไม่ปฏิเสธ “ฉลาดหลักแหลมหรือเจ้าเล่ห์กันแน่ยังมิรู้”
เขาชะงักครู่หนึ่ง แล้วปิดตาลงอย่างเกียจคร้าน “อีกเดี๋ยวให้อีไป๋มาหาสักรอบหนึ่ง”
ซวงไป๋ตอบอย่างนบนอบ “ขอรับ”
……
วันเวลาในตำหนักกวงหมิงกลับมิได้ทุกข์ทรมานดังที่นางคาดคิด ไป๋หลี่ชูมิใช่จะพบเห็นได้ทุกเวลา ดังนั้นชิวเยี่ยไป๋จึงอยู่อย่างค่อนข้างสบายใจ
แต่ละวันอีไป๋จะส่งอาหารชั้นดีมาให้ทั้งเช้ากลางวันเย็น และให้นางมีบ่อเป็นของตนเองสำหรับอาบน้ำ ขณะอากาศร้อนจัดนี้มีที่ให้แช่น้ำอาบได้ย่อมทำให้ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกยินดี
แต่ในเวลาเดียวกันซวงไป๋ก็จัดส่งยาหม้อมาให้นางดื่มทุกเช้าเย็น และบอกว่างูกู่ที่มุดเข้าร่างของนางในคราแรกเหลือหัวเดียว จัดว่าบาดเจ็บสาหัส การดื่มยาหม้อก็เพื่อให้งูกู่ฟื้นฟูในเร็ววัน เมื่องูกู่ฟื้นตัวยิ่งเร็ว โลหิตของชิวเยี่ยไป๋ที่จะให้ไป๋หลี่ชูดื่มกินจึงจะมีประสิทธิผลยิ่งขึ้นและยังเป็นผลดีต่อนางเองด้วย
แม้ชิวเยี่ยไป๋จะไม่อยากกินยาที่ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร แต่ตอนนี้นางก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสภาพร่างกายของตนเอง ตอนแรกนางเคยให้หนิงชุนหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงมาตรวจดู แต่ก็ตรวจไม่พบว่าเป็นอย่างไร จึงส่งนกพิราบสื่อสารถึงหนิงชิว ให้นางช่วยติดต่อกับชนเผ่าเหมียวที่เชี่ยวชาญเรื่องหนอนกู่หรือแมลงคุณไสยแล้วค่อยว่ากัน แต่แดนชาวเหมียวอยู่ทางใต้อันทุรกันดารและห่างไกล มิใช่จะทำโดยง่ายในเวลาอันสั้น จึงได้แต่ทิ้งไว้เช่นนี้ก่อน ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่มีอาการที่จะบ่งบอกว่างูกู่จะกำเริบจนตัวตาย
หากนางเป็นอะไรไป ก็ไม่เป็นผลดีต่อไป๋หลี่ชูด้วย ดังนั้นพอซวงไป๋ส่งยามา นางครุ่นคิดอยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้วก็ดื่มแต่โดยดี
ก็มิรู้ว่าเพราะฤทธิ์ยาหรือผลทางจิตใจ หลังดื่มยารสคาวไปสองวัน ตนเองรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงปลอดโปร่ง ดูเหมือนผิวพรรณจะลื่นกว่าเดิมเล็กน้อย
ซวงไป๋แตกต่างจากอีไป๋ที่รูปโฉมงดงามแต่อึมครึม เขาเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส เห็นใครก็ยิ้มให้ จึงคบหากับผู้คนได้ง่าย ทว่าชิวเยี่ยไป๋ก็เป็นคนที่รู้ความผู้หนึ่ง จึงไม่ได้ผูกมิตรจนถึงขั้นสนิทสนมอะไร
แต่การได้เขาเป็นเพื่อนคุยยามไม่มีอะไรทำเช่นนี้ก็ไม่เลวทีเดียว ซวงไป๋ก็ยังนับว่าเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง เป็นมือหนึ่งเรื่องการถือครองข่าวสารและคำซุบซิบนินทาในวัง ชิวเยี่ยไป๋เองก็มีแผนการจำนวนหนึ่งอยู่ในใจ จึงมักชอบคุยเล่นกันกับซวงไป๋
สองวันที่พักอาศัยที่นี่ หนึ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี คือการจ่อมอยู่ในตำหนักกวงหมิงสองวัน ทำให้นางได้ประจักษ์แก่สายตาว่า โรคกลัวความสกปรกของไป๋หลี่ชูเป็นความเจ็บป่วยทางจิตถึงระยะสุดท้ายแล้ว!
ไม่ว่าจะเข้าหรือออกจากประตูตำหนัก เป็นต้องเปลี่ยนรองเท้าแพรที่ไม่เหมือนกัน ตำหนักกวงหมิงต้องเช็ดถูวันละสามครั้ง ห้ามมิให้มีฝุ่นผงสักเม็ด คนรับใช้ในตำหนักต้องอาบน้ำวันละสองครั้ง เดือนหกที่ร้อนจัดแท้ๆ ก็ห้ามมิให้ใครเหงื่อออกสักหยด และยังต้องสวมถุงมือแพรบางเนื้อละเอียดตลอดเวลา
ส่วนไป๋หลี่ชูเอง…ชิวเยี่ยไป๋คิดว่าถ้าเขามิได้อยู่ในสระน้ำก็คงอยู่ระหว่างทางไปอาบน้ำ การอาบน้ำวันละห้าหนถือว่าปกติ นางสงสัยว่าที่ไป๋หลี่ชูผิวขาวขนาดนั้น ความจริงก็เพราะแช่ในน้ำระยะยาวนั่นเอง
ชิวเยี่ยไป๋อึดอัด เมื่อคิดว่าไป๋หลี่ชูเป็นโรคกลัวสิ่งสกปรกจนจิตวิปริต ตามหลักแล้วย่อมไม่อยากสัมผัสกับใคร แต่พอนึกถึงเขากับตนเองเคยสัมผัสกันทางกาย ตอนนั้นดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยารังเกียจเลย นี่เป็นสิ่งที่นางไม่เข้าใจ
ขณะที่ชิวเยี่ยไป๋พักในตำหนักหลังอย่างสุขารมณ์นี้ คนที่อยู่ตำหนักหน้ากลับไม่สู้สบายนัก
…
ณ ตำหนักหน้า โคมไข่มุกน้ำตาดวงหนึ่งส่องแสงนุ่มนวล ในอากาศยังกรุ่นด้วยกลิ่นหอมชวนรัญจวน
บนตั่งนุ่มมีเงาร่างสูงโปร่งของคนผู้หนึ่งเอนกายอย่างเงียบสงบ แลดูบุรุษที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแล้วกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “มานี่”
อีไป๋คุกเข่ากับพื้น ฟุบหน้าผากลงกับหลังมือ น้ำเสียงสั่นเทาพิกล “ฝ่าบาท…บ่าว…มิอาจ…”
ไป๋หลี่ชูพลิกหนังสือในมือช้าๆ พลางกล่าวว่า “หนังสือพวกนี้เจ้านำมาให้ข้าค้นคว้ามิใช่หรือ”
ดวงตาอีไป๋มีแววหวาดหวั่นและสำนึกเสียใจ กัดฟันกล่าวว่า “ฝ่าบาท…บ่าวมิบังอาจล่วงเกิน…”
ไป๋หลี่ชูเงยหน้าจากหนังสือเล็กน้อย กวาดสายตาเย็นเยือกบนตัวเขารอบหนึ่ง กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าไม่เคยสั่งใครเป็นครั้งที่สอง เจ้าจะเลือกจากไปก็ได้