ชิวเยี่ยไป๋ตอบ “ฝ่าบาทอรุณสวัสดิ์”
มิทราบว่าเป็นความรู้สึกหลอนไปเองหรือไม่ นางเห็น..ไป๋หลี่ชูมีแววตาตื่นเต้น
ตาเฒ่าสองคนนั้นพอเห็นไป๋หลี่ชูเข้ามา ก็รีบเงยหน้าขึ้นถลาไปต้อนรับ หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
ไป๋หลี่ชูพยักหน้านั่งลงที่ขอบเตียง “รบกวนอาจารย์เซียนทั้งสองแล้ว”
จากนั้นโบกมือเป็นสัญญาณ ซวงไป๋ก็นำขันทีน้อยสองคนออกไป
ประตูตำหนักปิดลงอีกครั้ง ตาเฒ่าคนสูงโย่งหยิบมีดคมบางเล่มหนึ่งเดินถึงข้างกาย “ฝ่าบาทเชิญ”
ไป๋หลี่ชูเงยหน้าให้ตาเฒ่า ตาเฒ่าจึงหยิบสำลีก้อนหนึ่งจุ่มอะไรบางอย่างในขวดสีดำแล้วเช็ดที่แขนของไป๋หลี่ชู จากนั้นนำมีดไปเผาไฟเล็กน้อย แล้วใช้สำลีจุ่มอะไรบางอย่างนั้นเช็ดใบมีด กรีดมีดลงบนข้อมือของไป๋หลี่ชู เลือดแดงสดทะลักออกมาทันที
เฒ่าเตี้ยอีกคนรีบนำชามหยกไปรองรับเลือดจากข้อมือของไป๋หลี่ชู
ชิวเยี่ยไป๋มองดูชามหยกพลันรู้สึกถึงความไม่ปกติ เพราะปริมาณเลือดในชามน้อยมาก นางสังเกตเห็นแล้วว่ารอยกรีดบนข้อมือของไป๋หลี่ชูลึกพอสมควร
แม้สายตาของไป๋หลี่ชูจะมิได้จับจ้องที่นาง แต่คล้ายรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวเนือยๆ ว่า “ข้าเคยโดนพิษเย็นจัดที่ร้ายกาจชนิดหนึ่ง พิษเย็นนี้ทำให้การไหลเวียนของเลือดในตัวข้าเปลี่ยนเป็นช้ามากและอุณหภูมิร่างกายต่ำลง การเคลื่อนไหวเชื่องช้า จนกระทั่งสุดท้ายร่างกายจะแข็งเหมือนศพ”
ฟังไป๋หลี่ชูกล่าวเช่นนี้ ประมาณว่ายังไม่มีวิธีขจัดพิษร้าย จึงต้องเลี้ยงงูกู่พิสดารไว้ในตัว งูกู่นี้เกิดในภูเขาไฟจึงมีธาตุร้อนดุจเปลวเพลิง เป็นของหายากมาก แต่เป็นคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่เพียงสามารถสมานบาดแผลที่เน่าเปื่อย ทำให้เส้นปราณโปร่งโล่ง ถ้าเป็นคนฝึกวิทยายุทธ์ได้กู่ชนิดนี้ พลังฝีมือจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดียวที่เป็นภัยคืองูชนิดนี้ตัวร้อนจัดจนทำให้เจ้าของร่างกายที่เลี้ยงมันไว้มอดไหม้ได้ ดังนั้นคนฝึกวิทยายุทธ์ทั่วไปต่อให้ได้ไว้ก็มิรู้ว่าจะจัดการอย่างไรและไม่กล้าใช้
แต่ไป๋หลี่ชูที่ถูกพิษเย็นจัดพอดีข่มกับธาตุของงูกู่ชนิดนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดีมานานปี
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วฝ่าบาทจะขจัดพิษทำไม” ชิวเยี่ยไป๋ไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่กระทบต่อการมีชีวิตอยู่ ทำไมต้องวุ่นวายถึงเพียงนี้
เฒ่าเตี้ยถลึงตาใส่ชิวเยี่ยไป๋แวบหนึ่ง “ถ้าพิษร้ายนั้นไม่เป็นภัยจริง ฝ่าบาทจะพยายามขจัดทำไม ย่อมเพราะพิษนั้นกำเริบรุนแรงขึ้นทุกทีนะสิ!”
เฒ่าโย่งมองดูเลือดในชามพลางแค่นเสียง “ถ้ามีใครทำลายเปลวเพลิงในร่างกายของฝ่าบาท เปลวเพลิงเหลือหัวเดียว ยังจะสะกดพิษเย็นไว้ได้อีกหรือ!”
ชิวเยี่ยไป๋เงียบงัน ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง มิน่าตนเองจึงสามารถทะลวงด่านความเป็นความตายในเวลาอันสั้น ช่างเป็นวาสนาชักพาจริงๆ
จากนั้นนางก็อดมองดูข้อมือตนเองมิได้ตามสัญชาตญาณ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “แต่ในเมื่องูชนิดนี้ร้อนแรงเหมือนไฟ แล้วทำไมข้าที่ได้รับหนอนกู่นี้มากลับมิได้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเล่า”
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะเห็นว่าเลือดที่ไหลออกจากกายไม่เร็วพอ จึงฉวยมีดจากเฒ่าโย่งกรีดแผลที่ข้อมือลึกลงอีกสองส่วน พลางกล่าวว่า “นั่นเพราะงูเพลิงที่เข้าสู่กายเจ้าเป็นเพียงส่วนหัวเท่านั้น ตอนแรกพวกเราก็ไม่มีใครรู้ว่างูเพลิงแม้จะถูกตัดหัวไปแล้ว ขอเพียงมีร่างใหม่ให้อาศัยระยะหนึ่งก็จะมีชีวิตต่อไปได้เช่นกัน อีกอย่างในตัวเจ้าไม่มีพิษเย็น ดังนั้นเปลวเพลิงนี้จึงมิได้เผาเจ้าจนมอดไหม้ แต่กลับช่วยให้เจ้ามีพลังการฝึกปรือเข้มแข็งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันข้าก็ดมออกว่าเลือดของเจ้าคือยาขจัดพิษในร่างกายข้าได้ดีที่สุด”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นการกระทำที่เยือกเย็นต่อการทารุณกรรมตนเองแล้ว หางตาก็กระตุกอย่างอดมิได้ จึงเปลี่ยนเป็นถอนใจกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “น่าจะเป็นเพราะข้าน้อยดวงแข็ง”
เพียงแต่มิทราบว่านางดวงแข็งหรือดวงซวย แม้พลังการฝึกปรือจะเพิ่มพูนขึ้นมา แต่ตนเองกลับต้องกลายเป็นยาขจัดพิษของผู้อื่น และหากเกิดอีกฝ่ายเป็นอะไรตายไป นางก็ต้องพลอยตายตกไปด้วย
เฒ่าเตี้ยมองดูชิวเยี่ยไป๋ ถากถางว่า “เป็นอย่างไร สำนึกเสียใจแล้วละสิ นี่เรียกว่าแส่หาเรื่องเอง รู้อย่างนี้แล้วครานั้นจะลอบทำร้ายฝ่าบาทชูทำไม!”
ชิวเยี่ยไป๋อมยิ้มกวาดตามองเขา “ท่านพูดผิดแล้ว ถ้าข้ารู้แต่ต้น จะตัดหัวงูออกทั้งสองหัวเลย!”
ตาเฒ่าอึ้งไป นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะกล่าวเช่นนี้ “เจ้า…”
ชิวเยี่ยไป๋คลายรอยยิ้ม กล่าวเนือยๆ ว่า “ในอุโมงค์ใต้ดินวันนั้น ข้าน้อยกับฝ่าบาทยังเป็นอริต่อกัน ในเมื่อเป็นศัตรูย่อมหวังว่าจะขุดรากถอนโคนอีกฝ่ายให้สิ้นซาก ดังนั้นถ้าย้อนเวลาได้ ข้าจะลงมือให้เฉียบขาดกว่าเดิม!”
คำพูดเช่นนี้ไม่เหมือนคนที่ตกอยู่ในการควบคุมของผู้อื่นเลย ซ้ำร้ายยังไม่เหลือทางถอยให้ตัวเองด้วย
หลายประโยคนี้ทำเอาเฒ่าเตี้ยและเฒ่าเสื้อแดงโกรธจนหนวดกระดิกและถลึงตาใส่ แต่นึกไปนึกมาก็มิรู้จะโต้แย้งอย่างไร ได้แต่กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บังอาจนัก เจ้ามิกลัวฝ่าบาทลงโทษหรือ!”
ชิวเยี่ยไป๋มองไปทางไป๋หลี่ชู ยิ้มอย่างเย้นหยัน “ฝ่าบาทปรีชา ย่อมรู้ว่าข้าน้อยแค่พูดตามความเป็นจริงเท่านั้น”
ไป๋หลี่ชูกำลังให้เฒ่าโย่งพันแผลให้ พอได้ยินก็หันมาทางชิวเยี่ยไป๋แล้วยิ้มอย่างสุดหยั่งคะเน “นั่นน่ะสิ ข้าจะตัดใจลงโทษเสี่ยวไป๋ได้อย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋งงงันแล้วหลุบตาลง หลบสายตาประหลาดของอีกฝ่าย แล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่องว่า “อ้อใช่แล้ว ไม่ทราบว่าข้าน้อยต้องทำอย่างไรบ้าง”
เฒ่าโย่งยื่นชามหยกที่บรรจุเลือดจนเต็มให้เฒ่าเตี้ยอย่างเดือดดาล แล้วหยิบชามหยกอีกใบเดินเข้าหาชิวเยี่ยไป๋ “ต้องการเลือดหนึ่งชามเหมือนกัน”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า ยื่นแขนข้างหนึ่งให้อย่างไม่ลังเล ปล่อยให้อีกฝ่ายเก็บเลือดของตนด้วยวิธีเดียวกัน
หลังเฒ่าโย่งได้เลือดครบแล้ว ก็ผสมเลือดทั้งสองชามเข้าด้วยกัน จากนั้นมิทราบเติมอะไรบางอย่างลงไป ก็เห็นเลือดในชามเดือดปุดๆ เป็นฟองขึ้นมา
ชิวเยี่ยไป๋สังเกตดู พบว่าในนั้นดูเหมือนจะมีหนอนสีขาวบิดตัวไปมาอย่างเจ็บปวด คล้ายทนไม่ไหวที่อุณหภูมิในเลือดสูงขึ้น และแล้วมันจึงถูกต้มจนเละอย่างช้าๆ กลิ่นคาวฟุ้งชวนอาเจียน
หากมิใช่นางเคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อนในแดนเหมียว ป่านนี้คงอ้วกแตกแล้ว
ตาเฒ่าทั้งสองกลับตื่นเต้นยินดี ใช้ภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องหารือกันว่าต้องเติมอะไรอีก แถมยังเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ชิวเยี่ยไป๋มองดูอย่างสยอง เห็นว่าแท้จริงแล้วเฒ่าสองคนรู้เรื่องยาขจัดพิษนี้ไม่ชัดเจน ของในชามนี้นางต้องกินด้วยหรือไม่ยังมิรู้!
แต่..นางให้ยอมตายก็จะไม่ยอมกิน
จนกระทั่งของในชามหยุดกระเสือกกระสนแล้ว และเลือดในชามกลายเป็นสีดำ ตาเฒ่าทั้งสองจึงหยุดเถียงกัน คงเห็นพ้องต้องกันแล้วกระมัง
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเฒ่าโย่งประคองชามเหม็นหึ่งเหนียวข้นผ่านตนไปให้ไป๋หลี่ชู ก็อดมองไป๋หลี่ชูอย่างข้องใจมิได้ นางสงสัยอย่างยิ่งว่า ไอ้คนโรคจิตกลัวสกปรกถึงขั้นสุดท้ายที่ต้องอาบน้ำวันละห้าหนคนนี้ เวลานี้ยังยอมนั่งอยู่ที่นี่ถือว่าสุดยอดแล้ว