นอกเสียจากว่า…ฝีมือของบุรุษผู้นี้สูงล้ำกว่าตนมาก
เอาเถอะ…
นางแลดูบุรุษที่ยืนอยู่ในเงามืด เงาของเขาถูกแสงโคมสาดส่องทอดลงบนพื้นที่มืดทึบคล้ายกลมกลืนไปกับความมืดไร้ขอบเขตราวกับว่าคือส่วนหนึ่งของตัวเขา
นางถอนหายใจคราหนึ่ง บุรุษผู้นี้พลังฝีมือสูงล้ำกว่าตนจริงๆ และอันตรายอย่างสุดแสน
“ฝ่าบาท ท่านดีขึ้นหรือยัง”
ไป๋หลี่ชูก้าวช้าๆ ออกจากเงามืด ริมฝีปากได้รูปยิ้มน้อยๆ “ดีขึ้นแล้ว เป็นความดีของเสี่ยวไป๋”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่คิดว่าไป๋หลี่ชูจะเป็นคนรู้จักชมคนอื่น ดังนั้นขณะที่เขาพูดเช่นนี้จึงรู้สึกพิกล นางเงยหน้ามองเขา กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ก็แค่ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น ฝ่าบาทเกรงใจไปไยกัน”
“นั่นสินะ ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ” ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ นัยน์ตาสีดำสนิทกลอกกลิ้งเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนสัตว์ผู้ล่ากำลังสังเกตเหยื่อของตน สายตาเช่นนี้ทำให้ชิวเยี่ยไป๋ตื่นตัว
แต่ไป๋หลี่ชูพลันหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว ขนตางอนงามบดบังนัยน์ตาของเขา นางเห็นว่าเขากำลังหยิบของกินจากกล่องอาหารออกมาเรียงราย กระทั่งเตรียมตะเกียบและจอกสุราสำหรับนางด้วย
“ทัวป๋าจี้ซือ[1]บอกว่าเจ้าสละเลือดบางส่วน ร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง จึงไม่ควรดื่มสุรา ในนี้เป็นน้ำสาลี่โลหิตแช่เย็น เหมาะกับเจ้า”
ชิวเยี่ยไป๋มิรู้ว่าทัวป๋าจี้ซือเป็นใคร เดาเอาว่าคงเป็นหนึ่งในสองตาเฒ่า
นางมองอากัปกริยาของไป๋หลี่ชู เนื่องจากได้รับการอบรมอย่างเข้มงวด ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขาล้วนสง่างาม การทำตัวเหมือนกำลังบริการผู้อื่นจึงน่าดูเป็นพิเศษ
นางเห็นเขาวางสำรับต่อหน้าตนก็ไม่เกี่ยงงอน นั่งลงกินแต่โดยดี และมิได้ถามไป๋หลี่ชูว่าจะกินด้วยหรือไม่
จนกระทั่งนางรู้สึกอิ่มก็วางตะเกียบลง เช็ดริมฝีปาก เงยหน้ามองเขาและกล่าวเนือยๆ ว่า “ฝ่าบาทมีธุระอะไรพูดกันตรงๆ เลย”
ไป๋หลี่ชูแลดูนาง ตาที่หลุบลงมีแววยิ้มอย่างอดมิได้ “เสี่ยวไป๋ ถ้าเจ้าน่ารักเช่นนี้ตลอดไป ข้าจะขอขอบคุณฟ้าดินที่ยังดีต่อข้าในบางด้าน”
“บางด้าน ด้านไหน” ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว
ในที่สุดไป๋หลี่ชูก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ แลดูนางแล้วกล่าวว่า “ทางด้านที่ข้าเลือกเป็นคู่นอน”
“คะ…คู่นอน ฝ่าบาทหมายความว่า…คู่นอน?” ชิวเยี่ยไป๋คิดว่าหูฝาด หรือว่านางให้ความหมายคำนี้ไม่ตรงกับที่บุรุษผู้นี้เข้าใจ
นางคว้ากระปุกน้ำสาลี่โลหิตดื่มอึกหนึ่งเพื่อให้ตนเองเย็นลง
ไป๋หลี่ชูหัวร่อ “ใช่แล้ว คู่นอน หรือจะกล่าวว่า ข้าอยากผสมพันธุ์เจ้า”
พรวด! ชิวเยี่ยไป๋พ่นน้ำสาลี่โลหิตในปากพุ่งไปไกลกว่าสามฉื่อ!
นางปาดคราบเลอะบนริมฝีปากลวกๆ มองดูบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้ถึงกับพูดว่า ‘ข้าอยากผสมพันธุ์เจ้า’ คำพูดแบบนี้ต่อให้เป็นคนเรือที่หยาบกร้านก็ยังไม่ใช้กัน
นางคิดว่าอีกฝ่ายคงล้อเล่น แต่แววตาที่เขามองนางทำเอานางรู้สึก…
ชิวเยี่ยไป๋ใช้มุมปากถูเบาๆ กับปากถ้วยในมือ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทยังคาใจกับเรื่องที่ข้าน้อยเคยล่วงเกิน ก็โปรดถือเสียว่าวันนี้ข้าน้อยทุ่มเทแรงกายช่วยฝ่าบาทขจัดพิษไปแล้ว ไยจึงยังคาใจอยู่อีกเล่า”
แต่จะว่าไป วันนั้นเขาข่มขู่บังคับนางก่อนนี่!
ดวงตาเรียวยาวของไป๋หลี่ชูโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างพิกล หัวร่อพลางถอนใจคล้ายจนปัญญา “เสี่ยวไป๋ เจ้ายังคงไม่เข้าใจ หรือว่าไม่ยอมเข้าใจเจตนาของข้ากันแน่ หรือเจ้าจะรู้สึกว่าล่วงเกินต่อข้าก็ตาม แต่สำหรับข้าแล้ว การเสพสมกับการผสมพันธุ์ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย”
น้ำเสียงจนใจเช่นนี้ฟังแล้วชวนขนลุก
ใช่แล้ว ล่วงเกิน ต่อให้นางเป็นบุรุษจริง ยังคงรู้สึกว่าถูกล่วงเกิน
ชิวเยี่ยไป๋ลอบกำกำปั้นบนเข่าช้าๆ นางหลุบตาลงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฝ่าบาทอยากเสพสมกับใคร ข้าน้อยคิดว่าคงมีหญิงงามนับมิถ้วนกำลังรอให้ฝ่าบาทเลือก”
ไป๋หลี่ชูยิ้มที่มุมปาก ภายใต้แสงสว่างที่พลิ้วไหว ใบหน้าหยดย้อยของเขาเหมือนคลุมด้วยหมอกควันที่แลดูแล้วไม่เข้าใจ รอยยิ้มเจาะจงชัดเจน “ไม่ ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”
เขาหยุดครู่หนึ่ง รินน้ำสาลี่โลหิตให้นางอีก “เจ้าจงถือว่าฟ้าลิขิตไว้แล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูจอกน้ำสาลี่สีแดงบาดตา นางแค่นหัวร่อ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ซวยจริงๆ”
เขากำลังปลอบนางหรือ
ไร้ยางอายกว่านี้..ยังมีอีกไหม!
นางพลันเงยหน้าขึ้นมองดูไป๋หลี่ชู กล่าวเนือยๆ ว่า “ฟ้าเป็นอย่างไรข้าไม่สน แต่ฝ่าบาทไม่คิดจะถามความรู้สึกข้าบ้างหรือ”
“สำคัญนักหรือ” ไป๋หลี่ชูแลดูนาง คล้ายกำลังมองเด็กดื้อที่ไม่เชื่อฟัง จากนั้นถอนหายใจเบาๆ แล้วตามใจนาง “เฮ้อ! แล้วเสี่ยวไป๋คิดอย่างไรเล่า”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาเผยรอยยิ้มอบอุ่น ก็คว้าขวดเหล้าที่บรรจุน้ำสาลี่บนโต๊ะขว้างใส่แสกหน้า “ใช่ สำคัญมาก!”
ขณะขวดขว้างเข้าใส่ ไป๋หลี่ชูมิได้หลบด้วยซ้ำ เพียงนั่งนิ่งอย่างเฉยเมย จนกระทั่งขวดใกล้กระทบกับใบหน้า จู่ๆ ก็หยุดค้างกลางอากาศ พริบตาต่อมา เพล้ง!
ขวดเหล้าแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับมิถ้วน พอตกลงมาก็กลายเป็นฝุ่นผง ถูกลมจากหน้าต่างพัดใส่ก็กระจายฟุ้ง
เค่อต่อมา ฝุ่นผงยังไม่ทันจะจางหมด พลังรุนแรงสายหนึ่งก็ทะลุฝุ่นผงเหล่านั้นฟาดใส่ใบหน้าของเขา คราวนี้เขาเคลื่อนไหวแล้ว
ไป๋หลี่ชูยกมือขึ้น คว้าข้อเท้าชิวเยี่ยไป๋ที่ถีบใส่ เขามองดูนางอย่างเฉยเมย “ไม่ยินยอมหรือ”
นางแค่นหัวร่อ “ไม่..ยินดีอย่างยิ่ง ยินดีที่จะฟาดหน้าของเจ้าให้แหลกจนบิดามารดาของเจ้าก็จำไม่ได้!”
นางไม่เคยคิดจะอยู่ร่วมกับคนวิปริตอย่างสันติเลย วิธีจัดการกับคนวิตถารที่ดีที่สุดคือกระทืบจมดิน เอาไปฝังแล้วสร้างศาลเจ้าทับไว้ ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดทุกภพทุกชาติ ขจัดเภทภัยแก่ราษฎร
ไป๋หลี่ชูถอนหายใจคราหนึ่ง พลันหัวร่อออกมา ยกมือขึ้นสะบัดแขนเสื้อ
“ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ยินยอม แต่ไม่เป็นไร”
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่ามีพลังขุมหนึ่งฟาดเข้าใส่ใบหน้า นางรีบชักเท้า ปลายเท้าซ้ายจิกพื้น พลิกตัวกลางอากาศ กระโจนถึงผนังฝั่งตรงข้ามในพริบตา ปลายเท้าจิกเชิงเทียนบนผนัง บิดเอวเป็นแนวโค้งงดงาม ใช้เชิงเทียนเป็นฐาน ฟุบตัวแนบผนังอย่างสวยงาม มองดูไป๋หลี่ชูอย่างเย็นชาจากที่สูงกว่า
ไป๋หลี่ชูแลดูบุรุษเยาว์วัยบนผนังที่ปราดเปรียวเหมือนเสือดาว ร่างสูงโปร่งบางนั้นเครียดเขม็งกลายเป็นความงดงามที่ทรงพลัง เอวคอดกิ่วที่ห่อหุ้มด้วยแพรบาง กลายเป็นเส้นโค้งแสนงดงาม
——
[1] จี้ซือ คือตำแหน่งผู้รับผิดชอบหน้าที่ในการจัดการเรื่องเกี่ยวกับการเซ่นไหว้บูชา