มือที่เคลื่อนไหวอยู่ของไป๋หลี่ชูหยุดลง ดวงตาเย็นเยือบพิกลจับจ้องนาง พลันรู้สึกเหมือนฟังเรื่องขบขันจนทนไม่ไหว เขาซุกหน้าลงกับไหล่ของนางอีกครั้ง แต่คราวนี้หัวร่อเต็มเสียง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…เสี่ยวไป๋ ข้าภาวนาขอให้เจ้าน่าสนใจเช่นนี้ตลอดไป”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกถึงลมหายใจเย็นเยือกพ่นรดลำคอตลอดเวลา ลมหายใจยังเจือด้วยกลิ่นหอมกรุ่น รุนแรงชวนสะท้านใจ กลายเป็นความรู้สึกทั้งชาทั้งเสียวอย่างไม่เคยเป็น ความรู้สึกซาบซ่านนี้คืบคลานไปตามสันหลัง ซ้ำร้ายยังไต่ลงไปเรื่อยๆ ทำเอานางเข่าอ่อนยวบอย่างน่าประหลาด นางพยายามผลักเขาออกหลายครั้งแต่ก็ไร้ผล สุดท้ายนางจึงตวาดลั่นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “น่าสนใจตรงไหน หา บอกมา ข้าจะลองแก้ไขดู”
ไป๋หลี่ชูที่ทับนางมิดทั้งร่างยิ่งหัวร่อก้องกว่าเดิม
ชิวเยี่ยไป๋ผลักไม่ออกและไม่กล้าออกแรงมากเกินไป เพราะเกรงว่าเดี๋ยวเกิดไปโดนจุดสำคัญของคนบ้านี่แล้วจะไปกันใหญ่ นางจึงได้แต่ค้อนปะหลับปะเหลือก มือเกาะเสาเตียงไว้แน่นเพื่อพยุงตัว ปล่อยให้มันหัวร่อต่อไปบนร่างนาง
ช่างเถอะ นางจะไปถือสาหาความอะไรกับคนบ้าเล่า
ปล่อยให้หัวร่อจนบาดแผลฉีกขาด เสียเลือดตายไปเองก็แล้วกัน
ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดไป๋หลี่ชูก็หยุดหัวร่อ ใช้สองมือค้ำผนังล้อมนางไว้ในอ้อมกอด กล่าวเบาๆ ว่า “เอาล่ะ ยามนี้ได้เวลาตกรางวัลแล้วเสี่ยวไป๋ เจ้าพร้อมหรือยัง”
ชิวเยี่ยไป๋ตาเครียดถมึงทึง กล่าวเย็นชาว่า “ยังไม่พร้อม”
คำที่ตอบกลับมาคือจูบอันหยาบคายรุนแรง ดูเหมือนจะชำนาญกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย
ชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็ง ดวงตาแทบปะทุเป็นไฟ คว้าด้ามมีดที่ปักไหล่หมุนคว้านอย่างแรง ที่แลกกลับมาคือข้อมือของนางถูกกระชาก ด้ามมีดหลุดจากมือ ในเวลาเดียวกันยังตามมาด้วยเสียงฉีกกระชากเสื้อผ้านางอย่างบ้าคลั่ง
“ออกไป!” นางกัดใส่เต็มคำอย่างโกรธจัด ไป๋หลี่ชูถอยอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงโดนกัดที่ริมฝีปาก
ไป๋หลี่ชูเลียริมฝีปากที่ถูกกัด แลดูนางด้วยแววตาแสนรักแสนหวง “แม้ในตำราจะระบุว่าในกระบวนการเสพสม บางคนชอบใช้เชือกมัดใช้มีดใช้ดาบใช้แส้เพื่อเพิ่มความสุข แต่นี่เป็นครั้งแรก เกิดเสี่ยวไป๋ไม่ทันระวังทำเอาตัวเองบาดเจ็บ ข้าปวดหัวใจนะ ถ้าเจ้าชอบอย่างนี้จริง ไว้เราฝึกจนชำนาญหน่อยค่อยลองดูนะ”
ใครจะฝึกจนชำนาญกับมารดาเจ้า!
ชิวเยี่ยไป๋ถลึงตาใส่ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นผล หลายครั้งที่พยายามหาทางหลุดรอด ผลลัพธ์ยังคงเป็นไป๋หลี่ชูทับร่างนางต่อไปด้วยความอดทนจนนางมิอาจขัดขืนได้ แม้แรงมือของเขาจะไม่ถึงกับทำให้นางบาดเจ็บ แต่การคว้าจับทุกครั้งมักทำเอานางหมดแรงที่จะขัดขืนต่อไป
นางโกรธมาก ทั้งโกรธทั้งกลัว และเป็นครั้งแรกที่แค้นตัวเอง เหตุใดจึงเลือกเรียนกุศโลบายจากท่านอาจารย์ โดยมิได้ลงแรงให้มากด้านวิทยายุทธ์ ทั้งที่สำนักหอซ่อนกระบี่มีวิชาฝีมือที่เป็นเลิศของทุกสำนัก
กุศโลบายอะไรก็ตาม เมื่อใช้กับคนจิตวิปริตที่มีพลังเข้มแข็งล้วนไร้ประโยชน์
จนกระทั่งเสียงฉีกเสื้อผ้าดังขึ้น รู้สึกแผ่นหลังเย็นวูบ พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋หน้าซีดเผือด แววตาตื่นตระหนก
“ข้ารับปากเจ้า!” ไม่ต้องคิดมากแล้ว ไม่ต้องมัวคิดอะไรอีกแล้ว ในที่สุดชิวเยี่ยไป๋ก็ร้องเสียงต่ำอย่างสุดกลั้น
ไป๋หลี่ชูหยุดการเคลื่อนไหว หยุดทุกอากัปกริยา ดูเหมือนจะมินำพากับการจู่โจมของนาง กลับประคองใบหน้าของนางอย่างทะนุถนอม ยิ้มน้อยๆ ถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ เสี่ยวไป๋ ข้าไม่ได้ยิน”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นใบหน้าที่นุ่มนวลสุดขีดจนกลายเป็นเ**้ยมเกรียมก็หลับตาลง กล่าวอย่างอ่อนล้าว่า “ข้าบอกว่า ข้าตกลงจะเป็นของเจ้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้และไม่ใช่ที่แบบนี้”
ดวงตาคู่งามและน่าสะพรึงกลัวของไป๋หลี่ชูเปลี่ยนเป็นเส้นโค้งแฝงด้วยรอยยิ้ม เขาไล้ริมฝีปากบวมเจ่อเพราะพิษจูบของนาง “เสี่ยวไป๋ ข้าไม่เชื่อใครง่ายๆ นะ แต่ข้าเชื่อเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอย่าคืนคำนะ หืม?”
เขามิได้ข่มขู่ แต่ชิวเยี่ยไป๋หนาวเยือกในอก แล้วนางก็หลับตาลงกล่าวว่า “สัญญา”
ไป๋หลี่ชูหัวร่อแล้ววางชิวเยี่ยไป๋ลง เอื้อมมือจัดผมเผ้าให้นางและยังช่วยจัดแจงเสื้อผ้าที่ถูกเขากระชากขาดให้เรียบร้อยขึ้น กล่าวว่า “ข้าก็ว่าตรงนี้ไม่ค่อยเหมาะ”
ในห้องเละเทะไปหมด มีแต่เศษข้าวของเครื่องใช้ที่แตกพังขณะทั้งสองสู้กัน แม้แต่เสาเตียงก็ยังถูกมีดสั้นของชิวเยี่ยไป๋บั่นไปเมื่อครู่ ทำเอาเตียงทั้งหลังถล่ม อย่าว่าแต่ใช้นอนเลย แม้แต่จะนั่งหรือจะยืนก็ยังเป็นปัญหา
ชิวเยี่ยไป๋ดึงเสื้อปิดรอยขาด งอตัวเล็กน้อยไม่ให้เขาดูออกถึงความผิดปกติของตนเอง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าต้องการเสื้อชั้นนอกสักตัว”
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง เขาเหลียวมองสภาพเละเทะของห้อง แต่มิได้ไปหาเสื้อตัวใหม่ หากแต่ถอดเสื้อชั้นนอกของตนคลุมลงบนตัวของนาง
“เดี๋ยวให้ซวงไป๋เปลี่ยนที่ให้เรา คลุมไว้ก่อนนะ”
นางแลดูนิ้วมือเรียวยาวที่กำลังกลัดกระดุมให้ตนทีละเม็ด อดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดถึงต้องเป็นข้า”
นางนึกไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมตนเองถึงทำให้บุรุษผู้ลึกลับและฐานะสูงส่งผู้นี้ไม่เสียดายกับการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวนาง ยังมิต้องพูดถึงว่าขณะนี้นางยังอยู่ในคราบ ‘บุรุษ’ และฐานะของนางก็แค่ลูกอนุคนหนึ่งของตระกูลใหญ่ แม้รูปลักษณ์จะโดดเด่นอยู่บ้าง แต่คนในค่งเฮ่อเจียนก็ล้วนเป็นคนหน้าตาดีหล่อเหลาทุกคนนี่
แต่..ไป๋หลี่ชูที่ถูกเลี้ยงดูมาชนิดมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม มีครบทุกอย่างทั้งอาหารการกินและความเป็นอยู่ที่หรูหราสมบูรณ์พูนสุข เห็นบุรุษหน้าตาดีมาคอยรับใช้จนชินตา แถมยังมีอำนาจเต็มมือและเชี่ยวชาญกุศโลบาย การจะทำอะไรย่อมมีเหตุผลของเขาเอง
นางเป็นคนสติแจ่มใส ยังมิได้หลงตัวเองว่างดงามปานนางพญาล่มเมือง จึงทำให้ไป๋หลี่ชูลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น
สิ่งใดก็ตามที่ผิดปกติวิสัยย่อมพิลึกพิลั่น
“ทำไม” ไป๋หลี่ชูหยุดมือ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มจางๆ “ก็เพราะมีแต่เสี่ยวไป๋เท่านั้นที่ทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น”
คำพูดบ่งบอกความในใจอย่างหมดเปลือกเช่นนี้ กล่าวออกจากปากของบุรุษผู้งดงามย่อมทำให้คนฟังอดฟุ้งซ่านมิได้
แต่ในสายตาของชิวเยี่ยไป๋ รอยยิ้มนั้นแม้จะน่าหลงใหลแต่ออกจะปลิ้นปล้อนอยู่บ้าง ดวงตานางฉายแววเย็นเยียบวาบหนึ่ง “ฝ่าบาท ในเมื่อข้ารับปากว่าจะเป็นคนของท่าน ย่อมหวังว่าคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนจะซื่อสัตย์เปิดเผย ไยท่านถึงเสแสร้งกับข้า”
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะจนใจ ปลายนิ้วเย็นเยียบเสยผมให้นาง ถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “นี่เป็นความสัตย์จริง หากเจ้าไม่เชื่อ จะให้ข้าสาบานก็ได้นะ”
ชิวเยี่ยไป๋ตัวแข็ง “ไม่…ไม่ต้อง”
นางทำตัวไม่ถูกเลยกับคำพูดและอากัปกริยาที่นุ่มนวลอ่อนโยนนี้ ราวกับทั้งสองเป็นคู่รักกันมานาน นางยังจำได้ว่าไม่กี่นาทีก่อน ไอ้หมอนี่กับนางกำลังสู้กันด้วยมีดสั้นชนิดเอาเป็นเอาตาย บัดนี้กลับพร่ำรำพันเช่นนี้ มันไม่เปลี่ยนบทบาทง่ายดายไปหน่อยหรือ ไม่รู้สึกว่าชวนอ้วกมากกว่าหรือ