“มีคนพูดกันว่าเวลามีใครแอบพูดถึงจะจาม คงจะมีคนคิดถึงนายน้อยสี่กระมัง” คุณชายชุดขาวยิ้มพลางนั่งลง รับกาน้ำชาเก๊กฮวยเขียวจากมือของคนรับใช้แล้วรินให้ชิวเยี่ยไป๋เอง
เขาไม่รู้ว่าคำที่พูดเล่นๆ นี้ไปบังเอิญตรงกับความเป็นจริง
ชิวเยี่ยไป๋มองดูผมสีดำสนิทของเขาที่สยายอยู่หลังใบหู ขับเน้นให้ใบหน้าดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น ภายใต้แสงเทียนเค้าหน้าดั่งสลักจากหยก คิ้วคางงดงามปานสวรรค์สรรค์สร้าง จึงเท้าแก้มหยอกเย้าว่า “เช่นนั้นหรือ คงเป็นเทียนซูคิดถึงข้ากระมัง หายไปด่านชายแดนทีสามเดือนเชียวนะ”
คุณชายเทียนซูยื่นจอกน้ำชาในมือให้ กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “คนที่คิดถึงนายน้อยสี่มีมากมาย ขาดเทียนซูไปสักคนก็คงมิเป็นไรหรอก”
ชิวเยี่ยไป๋สั่นศีรษะ รับจอกน้ำชาจิบคำหนึ่ง กล่าวเหมือนรำพึงรำพันว่า “พวกเขาต่างบอกว่าเทียนซูคล้ายข้ามากที่สุด แต่มิได้ไร้น้ำใจเช่นเจ้า ในฐานะเถ้าแก่ ให้เจ้าลาหยุดยาวเพียงนี้ จะดีจะร้ายเจ้าน่าจะสำนึกบุญคุณบ้าง เจ้าควรจะต้องคิดถึงเถ้าแก่คนนี้ใจจะขาดจึงจะถูกต้อง!”
คุณชายเทียนซูเลิกคิ้ว “ขอรับ ข้าน้อยสำนึกในพระคุณ คิดถึงจนแทบจะล้มป่วย เถ้าแก่ท่านน่าจะให้ข้าลาป่วยอีกสักครึ่งปีดีไหม”
ชิวเยี่ยไป๋ทำหน้ายักษ์ทันที เค้นเสียงกล่าวว่า “ไม่มีทาง!”
นางปล่อยให้เทียนซูออกไปครั้งหนึ่ง เจ้าเทียนฉีตัวแสบก็อาละวาดจนแขกเหรื่อที่มาเที่ยวร้องเรียนกันมากมายตลอดสามเดือน เทียนฮว่าก็ไม่สนใจแขกที่มาเที่ยว มัวแต่จมอยู่กับภาพวาดที่สะสมไว้ ส่วนเทียนฉินเอาแต่นอนเหมือนหมู ดีดพิณได้ครึ่งเพลงก็หัวทิ่มหลับไปเลยราวกับจู่ๆ ก็เสียชีวิต ทำเอาแขกสามคนป่วยเป็นโรคปัสสาวะเล็ด อีกสองคนเป็นโรคหัวใจ
เทียนซูหัวร่อเบาๆ “ท่านตัดใจตำหนิพวกเขาไม่ได้เท่านั้นเอง เทียนฉีนิสัยเช่นนั้นอยู่แล้ว ท่านนั่นแหละที่ฝืนใจเขารั้งเขาไว้”
ฝีมือของนายน้อยสี่ คุณชายในหอไผ่เขียวแทบทุกคนเคยลิ้มลองมาแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะลงมือหรือไม่เท่านั้น
เยี่ยไป๋เป็นคนย้อนแย้งในตัวเอง ทั้งรักถนอมบุปผาและเ**้ยมโหดในคราเดียวกัน
เทียนฉีนิสัยกร้าวแกร่งที่สุด ตอนเข้าหอใหม่ๆ ย่อมต้องถูกจัดการอย่างอเนจอนาถเป็นธรรมดา
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ “หอไผ่เขียวไม่เคยเลี้ยงคนว่างงานอยู่แล้ว และไม่เลี้ยงคนที่ใช้ไม่ได้ด้วย เทียนฉีเป็นบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพเจิ้นกั๋วตระกูลเจี่ยง ตอนตระกูลเจี่ยงถูกประหารทั้งโคตร เขารอดคนเดียวและมาอยู่ที่นี่ เป็นทายาทของแม่ทัพกระดูกย่อมแข็งอยู่ จึงสู้ยอมเป็นหยกแตกละเอียดก็มิยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ ข้าเลยให้เขามีชีวิตอยู่แบบที่สู้ตายไปยังจะดีกว่า เขามีหรือจะไม่แค้นข้า”
นางมิใช่คนใจบุญอะไร และไม่เคยทำเรื่องประเภทข่มขู่ให้ใครขายตัว แต่ในเมื่อตกมาอยู่ที่นี่แล้ว ทางการจะส่งคนมาตรวจสอบทุกปี ทั้งเทียนซูเทียนฉีล้วนมีฐานะไม่ธรรมดา มีคนในตระกูลมากมาย จึงต้องมีคนคอยจับจ้องมากเช่นกัน จะให้คนที่หวังจะตบตาผู้ตรวจสอบทางการรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องไว้ได้อย่างไร
หากตรวจพบจะมีโทษสถานหนักข้อหาให้ที่พักพิง
คุณชายเทียนซูเห็นนางยิ้มเนือยๆ แววตาเย็นชาจึงลอบถอนใจเบาๆ ตบไหล่นางกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ใครๆ ก็กลัวตาย ความจริงเรื่องง่ายดายที่สุดในใต้ฟ้านี้ก็คือความตาย แค่ยื่นคอให้ตัดก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มอีกต่อไป การมีชีวิตอยู่ต่างหากที่ยากเย็นอย่างยิ่ง ทว่ามีแต่คนเป็นเท่านั้นจึงจะมีความหวัง”
เขาหยุดลงแล้วพูดต่อ “เทียนฉีเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ไม่เช่นนั้นตามนิสัยของเขาแล้วถ้าอยากหาความตายจริงใครจะขวางไว้ได้ เพียงแต่เขาเป็นคนทระนงและอายุยังน้อย ความย้อนแย้งในใจจึงยากจะสงบลง”
ชิวเยี่ยไป๋ช้อนตามองเขาแวบหนึ่ง กุมมือเขาไว้กล่าวด้วยสีหน้าแสนจริงใจและนุ่มนวลว่า “เทียนซู ปกติข้ามักดุด่าเจ้าและจู้จี้กับเจ้า ขี้เหนียวกับเจ้า วันนี้ข้าจึงประจักษ์ว่าเจ้ามีธาตุแท้นุ่มนวลดุจหยก อ่อนโยนราวสายน้ำและรู้ใจคนอื่นจริงๆ”
เทียนซูแลดูมือที่กุมมือตน รอยยิ้มยิ่งอบอุ่นกล่าวว่า “ข้าทำตามความต้องการของท่านประมุขหอเสมอ ต้อนรับแขกเหรื่ออย่างอบอุ่นราวลมฤดูใบไม้ผลิ กับศัตรูโหดเ**้ยมปานลมฤดูหนาว ในเมื่อวันนี้ท่านรู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนวลแล้วละก็ เดี๋ยวท่านออกไปแล้วช่วยเลี้ยวขวาไปคิดบัญชีกับซิ่นหมัวมัวนะ เห็นแก่คนกันเอง ข้าลดราคาให้หน่อยก็แล้วกัน เอาเป็นว่าเดือนหน้าข้าขอหยุดเพิ่มสามวันก็แล้วกันนะ!”
ชิวเยี่ยไป๋หรี่ตา “ไอ้ขี้โกง!”
ถึงกับกล้าเก็บเงินเถ้าแก่ด้วย!
เทียนซูจิบน้ำชาช้าๆ “ยกย่องกันเกินไปแล้ว ข้าเรียนรู้จากท่านประมุขหออย่างไรเล่า”
ชิวเยี่ยไป๋ชักมือกลับทันที แค่นเสียงเย็นชา “บุรุษเลวเหมือนกันหมด”
เทียนซูเลิกคิ้วแลดูนางอย่างแปลกใจ หัวร่อเบาๆ กล่าวว่า “เยี่ยไป๋ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นบุรุษเช่นกัน น้อยคนนะที่จะด่าเอาตัวเองไปด้วย”
มือที่ถือจอกน้ำชาของชิวเยี่ยไป๋สั่นเล็กน้อย กระตุกมุมปากกล่าวว่า “ไม่ ข้ามิใช่บุรุษ”
“หืม” เทียนซูงงงัน นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะพูดเช่นนี้
ชิวเยี่ยไป๋จิบน้ำชา “ข้าโดนพวกเจ้าทรมานจนไม่เหมือนสตรีไม่เหมือนบุรุษ ขืนมีลูกค้าร้องเรียนอีก ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าวังไปเป็นขันทีกันเสียเลย”
“…” เทียนซูหมดคำจะโต้ตอบ
ชิวเยี่ยไป๋กำลังจะพูดต่อก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสองสบตากัน เมื่อครู่ตอนจะเข้ามาคุยกันได้กำชับเสี่ยวชีกับหลี่หมัวมัวไว้แล้วว่าห้ามรบกวน
ตอนนี้มีคนเคาะประตู ย่อมต้องเป็นเสี่ยวชีหรือหลี่หมัวมัวแน่ และคงมีเรื่องสำคัญ
“เข้ามา” คุณชายเทียนซูเอ่ยอย่างนุ่มนวล
ประตูเปิดดังแอ้ด หลี่หมัวมัวกล่าวที่หน้าประตูอย่างเกรงใจว่า “ขออภัยที่ต้องรบกวนนายท่าน เพราะเมื่อครู่อี้หมัวมัวมารายงานเรื่องผิดปกติ”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องมากมารยาท อาหลี่มีอะไร…เข้ามาบอกได้เลย”
หลี่หมัวมัวเป็นหัวหน้าในห้าหมัวมัว แต่กลับอายุน้อยที่สุดเพียงยี่สิบเจ็ด เคยเป็นคนฝึกพวกสตรีรับใช้ในวังหลวง พออายุครบยี่สิบห้าก็ไม่อยากอยู่ในวังอีกต่อไป ออกจากวังกลับชนบทรับมารดาไปอยู่ด้วย ระหว่างทางเจอะกับโจรร้าย หลังชิวเยี่ยไป๋ช่วยไว้แล้ว มารดาเฒ่าของนางก็เสียชีวิตเพราะบาดเจ็บสาหัส นางร่ำไห้ยกใหญ่ขอร้องให้ชิวเยี่ยไป๋ช่วยฝังศพมารดา และนับแต่นั้นมานางก็รับใช้ชิวเยี่ยไป๋ด้วยความภักดี
ต้ากูกูในวังเช่นอาหลี่ พอออกจากวังก็มีบรรดาขุนนางอยากได้ตัวไปเป็นครูในจวนและให้เบี้ยหวัดมากมาย แม้แต่พวกนางกำนัลก็ยังอยากเชิญไปเป็นอาจารย์ ชิวเยี่ยไป๋ได้ตัวมาย่อมดีใจมาก จึงจัดแจงให้นางทำหน้าที่ในหอไผ่เขียว รับผิดชอบการติดต่อกับพวกคุณชายตระกูลใหญ่ ตระกูลขุนนางที่ตกอับ
การอบรมสั่งสอนเจ้านายสตรีตัวน้อยในวัง ความจริงก็พอๆ กับการอบรมพวกคุณชายในหอ ดังนั้นอาหลี่จึงปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว อบรมสั่งสอนพวกคุณชายในหอเป็นอย่างดี แม้ตามลำดับตัวอักษรเหริน อี้ จื้อ ซิ่น หลี่ซึ่งใช้แทนหมัวมัวห้าคน หลี่จะอยู่ในลำดับท้ายสุดก็ตาม แต่นางกลับเป็นหัวหน้าหมัวมัวทั้งหลาย
ดังนั้นชิวเยี่ยไป๋จึงแน่ใจว่าถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัย หลี่หมัวมัวคงไม่มาขอพบแน่
และแล้วก็เป็นดังคาด หลี่หมัวมัวล้วงตั๋วเงินออกจากแขนเสื้อยื่นให้ กล่าวเบาๆ ว่า “นายน้อยสี่ เมื่อครู่มีแขกสตรีระบุตัวคุณชายเทียนซู ถูกอี้หมัวมัวยับยั้งไว้ แต่นางยังคงจะเปิดห้องรอคอย นี่คือตั๋วเงินที่อี้หมัวมัวได้จากแขกผู้นั้น”