เวียนหัว…
พริบตานั้นความคิดหนึ่งวาบขึ้นในหัวของชิวเยี่ยไป๋ จะอย่างไรนางก็เกลือกกลั้วในยุทธจักรมานานปี นางรู้สึกได้ทันทีว่ามีสิ่งไม่ปกติ
สุรา…สุราที่ไป๋หลี่ชูกรอกปากนาง!
นางหลงกลเสียแล้ว
นางเอื้อมมือสั่นเทาคว้าแขนเสื้อของไป๋หลี่ชู คร้านจะเล่นละครต่อแล้ว นางจ้องเขาอย่างเย็นชา “เจ้าป้อนอะไรให้ข้ากิน!”
ไป๋หลี่ชูเห็นแก้มงามของชิวเยี่ยไป๋แดงระเรื่อราวดอกไม้แรกแย้ม อีกทั้งยังมีท่าทางอ่อนล้า เห็นได้ชัดว่ายาออกฤทธิ์แล้ว แต่ดวงตาของนางกลับเย็นยะเยียบคล้ายมิได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ยา
ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดแวบหนึ่ง นึกชมสติของนางในใจ และคลายมือจากริมฝีปากนางตามที่นางต้องการ ใบหน้าแฝงยิ้มบางๆ กล่าวเสียงลากยาวว่า “เจ้าว่าอะไรล่ะ”
ชิวเยี่ยไป๋ใช้มือค้ำหน้าผากมิให้ฟุบลงกับโต๊ะ หัวร่อเย็นชาคำหนึ่งแล้วขว้างจอกเคลือบสีเขียวลงพื้น “เมาใจใช่หรือไม่ เจ้าคือคนสูงศักดิ์ที่ออกจากวังมาที่นี่วันนี้หรือ”
คนงามในวังหลวงที่กล้าใช้ตั๋วเงินยี่ห้อชางเหอ แม้ไม่แปลงโฉมก็ยังสามารถทำให้อาหลี่ที่เคยเห็นหน้าตาของเขานับครั้งไม่ถ้วนจดจำมิได้ คิดดูแล้วน่าจะเป็นเขา!
ไป๋หลี่ชูไม่เหลือบมองจอกที่ถูกขว้างกับพื้นแม้แต่น้อย เพียงหยิบผ้าเช็ดมือของตนเองช้าๆ “เมาใจ เมาใจคน เมาตาคน ลืมทุกข์โศกหมดสิ้น หัวร่อกับเงาในน้ำ สุราเมาใจชั้นเลิศนี้ ต้องใช้สุราหนี่ว์เอ๋อร์หงหมักสิบปีเป็นกระสาย ผสมด้วยดอกพุดตาน น้ำดอกส้ม หิมะจากต้นเหมย แล้วจึงหมักด้วยข้าวเหนียว เติมน้ำตาลกรวดจมไว้ในธารน้ำแข็งหนึ่งปี จึงจะเป็นสุราเมาใจ”
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน “เจ้า…”
ตัวนางเองก็แค่รู้เพียงเล็กน้อยจากตำราเขียนด้วยมือที่ขาดวิ่น ตกทอดมาแต่รัชกาลก่อน และพยายามทดลองปรุงหมักหลายต่อหลายครั้งจึงสำเร็จ คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้จักสุรานี้เป็นอย่างดี แถมยังรู้วิธีหมักที่ถูกต้องด้วย!
พระเก้าพันปีของซือหลี่เจียนที่ชื่อเหม็นโฉ่ทั่วแผ่นดินคือปรมาจารย์ในการหมักสุราอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ในวัยเด็กชอบอ่านตำรับตำรา และมักพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจ ยามว่างจึงทดลองดู ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ แล้วช้อนตาขึ้นมองดูนาง “ว่าแต่เสี่ยวไป๋ เจ้าก็รู้จักสุราเมาใจด้วย ข้ารู้สึกแปลกใจจริงๆ ข้าจำได้ว่าสุราเมาใจนี้เป็นหมัวมัวหอไผ่เขียวส่งมาให้ข้า ทำไมเจ้าจึงรู้ด้วยล่ะ”
ชิวเยี่ยไป๋จึงเข้าใจ ที่แท้ด้วยฤทธิ์ของสุราเมาใจ เมื่อสักครู่นี้ตนเองคงพลั้งปากพูดอะไรออกไป ถ้าเป็นยามปกตินางไม่มีวันคาดคั้นเขาโดยตรง แต่ยามนี้รู้สึกศีรษะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่หลับ พอฟัง
ไป๋หลี่ชูแล้วนางก็อยากตอบอย่างควบคุมสติไม่ได้ว่า “เพราะข้าคือ…”
แต่นางเป็นคนจิตใจเข้มแข็งเสมอมา ขณะที่คำพูดสุดท้ายจะหลุดจากปาก ยังคงลอบหยิกกลางฝ่ามือตนเอง เล็บที่จิกลงกลางฝ่ามือจนเจ็บทำให้สติแจ่มใส่ขึ้นเล็กน้อยและมิได้พูดต่อจนจบ เพียงลูบหน้าผากที่มึนงงแล้วไม่พูดอะไรอีกเลย
“เจ้าคืออะไร หืม” ไป๋หลี่ชูเห็นนางหน้าซีดเผือดแล้วแดงระเรื่อสลับกัน ก็รู้ว่านางกำลังฝืนฤทธิ์ยา รอยยิ้มพิกลวาบขึ้นในดวงตา เอื้อมมืออุ้มชิวเยี่ยไป๋ขึ้นจากเก้าอี้ไว้บนตัก แสร้งกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เสี่ยวไป๋เจ้าพูดอีกที เจ้าคืออะไร”
น้ำเสียงเสนาะโสตคล้ายแว่วมาแต่ไกล โหวงเหวงวังเวงและเย็นเยือกเล็กน้อย ฟังแล้วสบายอย่างยิ่ง
ตอนที่เขาอุ้มชิวเยี่ยไป๋ นางยังพยายามดิ้นรนสองครั้ง แต่พออิงแนบอกกว้างที่มีกลิ่นหอมจางๆ กลับรู้สึกสบายเหมือนได้อยู่ในธารน้ำเย็นขณะอากาศร้อนจัด สบายจนนางไม่คิดจะฝืนฤทธิ์ยาอีกต่อไป และแล้วจึงซบอยู่เช่นนั้นและพึมพำฟังไม่รู้เรื่อง
ไป๋หลี่ชูฟังไม่ถนัด จึงขยับตัวเล็กน้อยอย่างเอาใจ ได้ยินเสียงนางสะอึกแล้วหัวร่อเบาๆ “เพราะข้าคือ…ข้าคือคนที่มาขอร้องเทียนซู”
ไป๋หลี่ชูเห็นนางตอบไม่ตรงคำถาม แววตาจึงหม่นลง แต่มิได้ซักไซ้อีกเพียงถามต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อืม เจ้าจะขอร้องอะไรจากเทียนซู”
นางซบกับอกเขาพึมพำว่า “อืม…ขอเทียนซู…ขอให้เทียนซูช่วยข้า…สืบคดีไหวหนาน…สืบคดีไหวหนาน…คนที่ปูดเรื่องนี้ ไม่มีทางเจาะจงที่ตระกูลตู้แต่คิดจะงับเนื้อซือหลี่เจียนสักชิ้น ข้าจะสืบให้ได้…ว่าตระกูลเหมยต้องมีส่วนพัวพันแน่ แหะๆ”
ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้ว เมื่อครู่ตอนเขามาถึงได้ยินกับหูว่านางกำลังขอร้องคุณชายเทียนซูให้ช่วยสืบคดีจริง เพียงแต่ดูแล้วนางสนิทสนมกับคุณชายเทียนซูมาก ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนแขกธรรมดา ถ้าจะบอกว่านางกำลังขอร้องคุณชายเทียนซู น่าจะบอกว่ากำลังสั่งงานคุณชายเทียนซูจะถูกต้องกว่า
นึกถึงปลายนิ้วคุณชายเทียนซูบนไหล่ของชิวเยี่ยไป๋และบรรยากาศที่ใกล้ชิดกันเช่นนั้น มือของไป๋หลี่ชูที่โอบเอวคอดกิ่วไว้ก็แน่นขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาฉายแววลึกล้ำยากจะหยั่งคะเน
ชิวเยี่ยไป๋ถูกกอดจนอึดอัดพยายามดิ้นรน ไป๋หลี่ชูจึงได้สติและคลายมือออก เขามองดูปลายนิ้วของตนเองอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาฉายแววประหลาดแล้วตบหลังชิวเยี่ยไป๋ ลูบหลังนางเหมือนกำลังลูบลูกแมวตัวน้อย หัวร่อเบาๆ อย่างหยามหยัน “เจ้าช่างร้ายกาจจริงนะ ไอ้ขันทีเฒ่าเจิ้งจวินพูดไม่กี่คำ สั่งให้เจ้าสืบคดีเจ้าก็คิดจนได้เบาะแส ถ้านางเฒ่าแซ่ตู้รู้ว่าไปรับเอาเผือกร้อนมาอยู่ในถิ่นของตน สุดท้ายจะลวกตัวเองจนอยู่ไม่เป็นสุข ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋โดนลูบไปลูบมา รู้สึกสบายไปทั้งตัว หลับตาขดตัวในอ้อมอกเขาอย่างเกียจคร้าน เกยคางบนแขนเขา ถ้านางมิใช่คนตัวเป็นๆ ที่ยังมีขาเพรียวยาวคู่หนึ่งแล้ว นางคงขดตัวเป็นก้อนกลมบนตักเขาเป็นแน่
เสื้อผ้าของไป๋หลี่ชูย่อมเป็นแพร่ต่วนเนื้อดีที่สุด เรียบลื่นราวสายน้ำ เขาไม่ชอบลายปัก เพราะรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งจอมปลอม เขาชอบให้คนทอผ้าที่ฝีมือดีที่สุด สอดสีด้วยด้ายทีละเส้นทอเป็นเสื้อผ้าเลย ดูเผินๆ จะเหมือนสวมสายน้ำไว้บนตัวแต่ในแสงที่มืดและสว่างไม่เหมือนกันจะเห็นสายน้ำและสีสันที่ต่างกัน เมื่อหรูหราจนถึงขีดสุดก็กลับคืนสู่สามัญ
ดังนั้นชิวเยี่ยไป๋จึงรู้สึกว่าตนเองกำลังซุกตัวในกองผ้าที่เรียบลื่น พอมุดเข้าไปอากาศหน้าร้อนพลันหายไป แถมยังมีกลิ่นหอมจางๆ นับว่าเป็นที่หลบร้อนชั้นดีโดยแท้
อืม…สบายจริง
นางพึมพำอย่างอดมิได้ บิดกายเล็กน้อยในอ้อมอก
ไป๋หลี่ชูแลดูคนในอ้อมกอดกำลังคว้าจับแขนเสื้อของตน ไม่ได้ยินคำพูดถากถางของตนแม้แต่น้อย คล้ายแมวเหมียวแสนเชื่อง ความระแวดระวังของเสือดาวในยามปกติหายไปหมด
ครั้งที่แล้ว กว่าจะจับเสี่ยวไป๋ได้ต้องเจ็บตัว เสียหายมากมายเลยทีเดียว