ซึ่งไม่เพียงคอยระวังความปลอดภัยของบรรดาคุณชาย ขณะเดียวกันก็ทำให้บรรดาคุณชายได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ใจ ไม่เคยผิดใจกับแขกในเรื่องใดๆ เลย และชื่อเสียงเช่นนี้ก็ร่ำลือไปทั่ว
แต่บรรดาคุณชายของหอไผ่เขียวที่รู้ภูมิหลังของชิวเยี่ยไป๋มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
แม้แต่สี่ยอดคุณชายฉินฉีซูฮว่า ที่รู้ตัวจริงของชิวเยี่ยไป๋ก็มีแต่เทียนฉีและเทียนซูเท่านั้น
เทียนซูคือคนที่ชิวเยี่ยไป๋ตั้งใจจะชุบเลี้ยงให้เป็นคนสนิท ส่วนเทียนฉี…โดยพื้นฐานแล้วเป็นอุบัติเหตุสำหรับชิวเยี่ยไป๋ จึงทำให้เขารู้ฐานะบางอย่างของชิวเยี่ยไป๋ที่แม้แต่เทียนซูก็ยังไม่รู้
แต่นางย่อมมีวิธีปิดปากเทียนฉี ส่วนเทียนฉีจะแค้นเคืองหรือไม่นางมิได้นำพา
นางเป็นคนที่ทำอะไรคำนึงถึงแต่ผลลัพธ์เท่านั้น
ชิวเยี่ยไป๋ใช้สมองวนเวียนอยู่กับการพิจารณาช่องโหว่ของหอไผ่เขียว ส่วนเทียนซูเลิกคิ้ว เค้าหน้าที่คมสันมีแววกังวล “จะให้ข้าเตือนพวกคุณชายให้ระวังแขกเหรื่อที่เข้าออกระยะนี้ไหม ถึงอย่างไรก็พวกเรานี่แหละที่สัมผัสกับแขกโดยตรง”
ชิวเยี่ยไป๋นึกดูแล้วกล่าวว่า “ให้พวกเขาระวังคนน่าสงสัยก็พอ แต่ไม่ต้องบอกว่าให้สังเกตคนในวัง ส่วนคนของสำนักหอซ่อนกระบี่บอกให้ละเอียดได้”
เทียนซูงงงันเล็กน้อย “ทำไม”
พวกเด็กรับใช้ก็คือเด็กรับใช้ จะไปรู้เรื่องดีกว่าพวกคุณชายที่สัมผัสกับแขกโดยตรงในห้องได้อย่างไร
ชิวเยี่ยไป๋เคาะนิ้วกับโต๊ะ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ถ้าเจ้าเป็นนักสืบ เจ้าจะสืบเสาะที่พวกคุณชายหอไผ่เขียวผู้งามสง่า หรือว่าจะจับจ้องพวกคนครัวที่คอยซื้อซีอิ๊วและเด็กรับใช้”
เทียนซูจึงได้คิด “ไม่ผิด ถ้าข้าเป็นนักสืบ ย่อมต้องเริ่มลงมือจากพวกคุณชาย”
และใครๆ ก็ย่อมรู้ว่าพวกคุณชายต่างหากที่มีโอกาสได้ข่าวจากปากคำของแขก และมักละเลยพวกคนรับใช้ตัวเล็กตัวน้อย คิดว่าพวกคนต่ำต้อยเหล่านี้ไม่สลักสำคัญแต่อย่างอย่างใด โดยหารู้ไม่ว่าพวกคนตัวเล็กตัวน้อยต่างหากที่เป็นผู้สืบข่าวชั้นดี
“ถ้าจะให้ใครโกหกโดยไม่มีพิรุธ วิธีที่ดีที่สุดคือต้องให้คนคนนั้นไม่รู้ตัวว่ากำลังโกหก” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มเนือยๆ
เทียนซูงงงัน แลดูชิวเยี่ยไป๋ผู้งดงามที่กำลังวางแผนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ความรู้สึกประหลาดในใจเพราะสัมผัสกับหัวไหล่ของนางจึงค่อยจางลง
เยี่ยไป๋ ช่างเป็นบุรุษเยาว์วัยที่งามทั้งรูปและปราดเปรื่องด้วยปัญญาเสียจริง
“ทว่า เรื่องราวในวันนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี” ไม่รู้ว่าชิวเยี่ยไป๋นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวอย่างแย้มยิ้ม
“อ้อ” คุณชายเทียนซูประหลาดใจ
นางยิ้มพลางเคาะโต๊ะ ประกายตาวิบวับ “คดีไหวหนานพวกเราลงมือสืบสวนให้เต็มที่ ไม่แน่ว่าอาจได้อะไรดีๆ ก็เป็นได้ วันนี้ฝ่าบาทผู้นี้เปิดเผยข่าวคราวบางอย่าง”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วยิ้มจนตาหยี “เรื่องนี้ตรงกับที่ข้ากับเป๋าเป่าเคยสันนิษฐานไว้ เกี่ยวพันกับการชิงอำนาจในราชสำนัก ดูท่ามีคนจงใจจะหาเรื่องยุ่งยากให้พระโพธิสัตว์เฒ่าพระพันปี เดิมทีพวกเราถูกหนีบไว้ตรงกลางจะอยู่ยาก แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทเซ่อกั๋วเข้าข้างเรา ต่อให้เขาไม่ลงมือโดยตรง แต่โดยสรุปพวกเราไม่น่าจะลำบากมากนัก
เทียนซูเห็นรอยยิ้มของชิวเยี่ยไป๋ แววตาคล้ายคิดอะไรได้ แม้เขาจะมิรู้ว่าฝ่าบาทเซ่อกั๋วกับชิวเยี่ยไป๋ทำอะไรกันในห้องนานมาก แต่เยี่ยไป๋เองคงไม่รู้ตัวว่า แม้เขาจะชิงชังฝ่าบาทผู้นั้น แต่กลับคล้ายมีความเชื่อถือต่อฝ่าบาทคนนั้นอย่างน่าประหลาด
เทียนซูแลดูหลี่หมัวมัวที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวว่า “วุ่นวายอยู่ค่อนคืน ข้าว่านายน้อยสี่คงหิวแล้วนะ หมัวมัวไปสั่งคนนำของกินมาให้สักหน่อยดีไหม”
หลี่หมัวมัวก็รู้ว่าคุณชายเทียนซูมีเรื่องจะคุยกับเจ้านาย จึงอมยิ้มกล่าวว่า “เมื่อวานเหล่าเฉินเพิ่งจะคั้นน้ำกะทิที่นายน้อยสี่ชอบที่สุดเสร็จ อีกสักครู่เดี๋ยวบ่าวจะไปยกบัวลอยมาให้ถ้วยหนึ่ง คุณชายเทียนซูชอบทานเค็ม พอดีวันนี้มีแกงเนื้อปลา ต้มให้เปื่อยหน่อยทั้งอิ่มและย่อยง่าย ดีไหมเจ้าคะ”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มถูกใจ “อาหลี่รู้ใจที่สุด รีบไปเอามาเร็ว”
จนกระทั่งอาหลี่ย่อกายคารวะออกไปแล้ว เทียนซูจึงถอนหายใจเบาๆ “ไม่เสียทีที่เคยเป็นชาววังมาก่อน สมกับชื่อหลี่ (มารยาท) จริงๆ”
ลุกนั่งเดินเหินเป็นจังหวะจะโคน ไม่รีบไม่เร่ง ฝีมือแนบเนียน ทำอะไรก็พอเหมาะพอควร ไม่อวดฉลาดจนเจ้านายเขม่น แถมเอาใจใส่ละเอียดลออต่อความต้องการของเจ้านายด้วย
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อเบาๆ “แน่นอน ถ้าไม่มีความสามารถจริง อาหลี่จะเป็นหัวหน้าหมัวมัวพวกนี้ได้หรือ หลายคนนั้นฉลาดออกจะตาย”
คุณชายเทียนซูเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ส่ายหน้าร้องหึกล่าวว่า “มีแต่ท่านนี่แหละที่ตั้งชื่อ เหริน (เมตตาธรรม) อี้ (คุณธรรม) หลี่ (มารยาท) จื้อ (ปัญญา) และซิ่น (สัจจะ) ให้กับพวกหมัวมัวดูแลหอคณิกา”
“แล้วมิใช่เอกลักษณ์ของหอไผ่เขียวของเราหรอกหรือ ที่ทำให้พวกเราทุกคนมีชื่อมีเสียง แม้แต่พวกแขกที่มาก็ชอบมิใช่หรือ” นางยิ้มอย่างถากถาง
เทียนซูถอนใจ ไม่ผิดเลย พวกแขกที่ถือว่าตนเองสูงศักดิ์ก็ชอบอะไรที่ดูและฟังแล้วงามสง่านี่แหละ หารู้ไม่ว่านี่เป็นกลเม็ดในการเอาใจลูกค้าเท่านั้น คนมาเที่ยวซ่องยังจะคำนึงถึงคำสอนของปราชญ์โบราณด้วยหรือ
สมดั่งคำพังเพยที่ว่า คนทั้งโลกหัวร่อว่าข้าบ้าคลั่ง ข้าเองหัวร่อที่พวกเขาดูไม่ออกเอง
นางหยิบจอกใบน้อยทำด้วยหินทรายสีม่วงรินน้ำส่งให้คุณชายเทียนซู “เจ้าผลักไสให้อาหลี่ออกไป คงมิใช่แค่อยากถกกับข้าว่าอาหลี่เอาใจเก่งเท่านั้นกระมัง”
เทียนซูรับจอกไว้ แลดูนางแล้วพลันกล่าวว่า “เยี่ยไป๋ เจ้ารู้จักฝ่าบาทเซ่อกั๋วใช่หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋อึ้งไปแล้วพยักหน้า “ไม่ผิด ข้ารู้จักฝ่าบาทองค์นั้น”
นางมิได้คิดจะปิดบังเทียนซูในเรื่องนี้
เทียนซูเลิกคิ้ว “เจ้าคุ้นกับฝ่าบาทหรือ”
นางอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวอย่างจนใจว่า “อืม ถูกบังคับให้คุ้นเคย”
“ถูกบังคับ…องค์หญิงคนนั้นชื่อเสียงไม่สู้ดี หรือว่าเจ้าถูกนาง…” เทียนซูเบิกตากว้างอย่างตระหนก
ชิวเยี่ยไป๋ “เจ้า…เจ้าคิดมากไปแล้วเทียนซู ข้ามิได้เสียตัว”
ดูท่าชื่อเสียงเลวร้ายของไป๋หลี่ชูจะฝังอยู่ในใจทุกคนแล้ว
เทียนซูฟังแล้วยังคงจ้องมองชิวเยี่ยไป๋อย่างเคลือบแคลงพักใหญ่ เห็นนางนอกจากท่าทางอับจนปัญญาแล้วก็มิได้มีอะไรผิดแปลกจึงถอนใจเฮือกใหญ่ “ข้าแค่วิตกว่าเจ้าจะถูก…”
เขามิได้หลุดปากว่าถูกอะไร แต่ชิวเยี่ยไป๋รู้ดีว่าเขากังวลว่านางจะตกที่นั่งเหมือนเขา
ทองคำแท้ๆ กลับตกอยู่ในโคลนตม
ไม่ว่าเทียนซูจะงามสง่าและวางเฉยอย่างไร แต่เรื่องนี้เป็นความเจ็บปวดของเขาที่ไม่มีวันลืมเลือนตลอดกาล
ชิวเยี่ยไป๋ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตบมือเขาเบาๆ แล้วปลอบอย่างนุ่มนวลว่า “อย่ากังวลไปเลย ข้าย่อมรู้จักปกป้องตนเอง”
เทียนซูลังเล “ฝ่าบาทองค์นั้นแม้จะได้ชื่อว่าจิตใจเหมือนอสรพิษ แต่งดงามมิมีใดเทียม เจ้าคงไม่…ไม่หลงรักนางกระมัง”