ชิวเยี่ยไป๋อดหัวร่อมิได้ “เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว!”
นางหยุดลงแล้วกล่าวเนือยๆ ว่า “เกี่ยวกับฝ่าบาทชูนี้ บังเอิญข้ามีของที่เขาต้องการ บัดนี้ดูแล้วเราก็มีบางอย่างที่ต้องการจากเขาเช่นกัน ก็เท่านั้นเอง”
เทียนซูงงงัน “เจ้ามีของที่ฝ่าบาทเซ่อกั๋วต้องการหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างเย็นชา “สิ่งที่มั่นคงที่สุดในโลกนี้อาจมิใช่ความรัก หากแต่เป็นคุณค่าและผลประโยชน์”
สำหรับผู้อยู่ในอำนาจแล้ว ไม่เคยมีมิตรแท้และไม่มีศัตรูที่ถาวรเช่นกัน ยามใดที่ท่านมีคุณค่าที่ไม่มีใครทดแทนได้ ก็มิต้องกังวลว่าตนเองจะถูกทอดทิ้ง
พิษร้ายในตัวไป๋หลี่ชูยังขจัดไม่หมด ย่อมยังต้องใช้สอยนาง ส่วนที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาจึงอยากจะครอบครองนาง แม้นางจะยังไม่เข้าใจ คงได้แต่ถือว่าเป็นความใคร่ที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น และตัวนางเองย่อมต้องหยิบฉวยค่าตอบแทนที่พึงได้ สรุปแล้วระหว่างนางกับเขาจึงอยู่ในฐานะพันธมิตรเป็นการชั่วคราว
เทียนซูฟังแล้ว ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยฉายแววประหลาด “คุณค่ากับผลประโยชน์หรือ…”
ถ้าเช่นนั้น เขาเองควรยินดีกับตนเองหรือไม่ ที่ตนเองยังมีคุณค่าและผลประโยชน์สำหรับนายน้อยสี่
สายตาของเขาเหลือบผ่านปลายนิ้วของชิวเยี่ยไป๋โดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นสีหน้าพลันเคร่งขรึม จับมือของนางพลิกขึ้น เห็นที่ง่ามมือขาวผ่องมีจุดแดงคล้ำจากเลือดออกดูแล้วบาดตา พลันถามเสียงเย็นชาว่า “นี่มันอะไรกัน”
รอบจุดที่เคยเลือดออกบัดนี้ช้ำเขียว เห็นได้ชัดว่ารอยเข็มไม่ตื้น ง่ามมือเป็นจุดที่แพทย์ใช้ในการแทงเข็มเพื่อช่วยให้ฟื้นจากอาการสลบ ก็เพราะการแทงเข็มที่ง่ามมือไม่มีอันตราย แต่เจ็บมาก เจ็บจนคนที่สลบอยู่ฟื้นคืนสติมาได้
ชิวเยี่ยไป๋นึกไม่ถึงว่าอากัปกริยาของเทียนซูจะรวดเร็วเช่นนี้ ถูกจับข้อมือไว้จะชักกลับก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่กล่าวเนือยๆ ว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่ทันระวังโดนเข็มแทงเอาเท่านั้น”
ความจริงหลังจากไป๋หลี่ชูหลอกให้นางดื่มสุราเมาใจเมื่อครู่ นางพยายามต้านทานฤทธิ์ยา จึงลอบล้วงเข็มเงินประจำตัวที่พกไว้ยามฉุกเฉินแทงใส่ง่ามมือเพื่อรักษาสติไว้ ย่อมเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้นางกุมสติไว้ได้ และแน่นอน เพราะนางดื่มสุราเมาใจเข้าไปไม่มากนัก
หากไม่ทำเช่นนี้ นางไม่แน่ใจเลยว่าตนเองจะต้านทานฤทธิ์ยาได้และไม่รู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
เทียนซูเห็นนางไม่อยากพูดมาก จึงจ้องมองนางอย่างเฉยเมยครู่หนึ่ง จากนั้นไปหยิบยาสมานแผลที่หิ้งมาทาให้อย่างเอาใจใส่ “วันหลังระวังตัวหน่อย”
เขาเห็นท่าทางมินำพาของนางน้ำเสียงก็เย็นลง “คนงามแม้ยากพานพบ แต่พึงรู้ไว้เถิดว่าคนในราชนิกุลยิ่งงดงามยิ่งอันตราย นายน้อยสี่ ท่านเป็นคนฉลาดนะ”
ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกหัวร่อมิออกร่ำไห้มิได้ แต่ยังคงเห็นด้วยกับคำพูดของเทียนซู และรู้ว่าเขากำลังพูดเตือนนาง นางจึงกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ได้ ข้าจะระวังตัวให้มากขึ้น”
……
แม้สังคมในรัชสมัยเทียนจี๋จะเปิดกว้าง แต่ยังคงเข้มงวดเรื่องลำดับชั้นวรรณะ ขุนนางและข้าราชการรังเกียจการอยู่ร่วมกับพ่อค้าแม่ขาย ทางตะวันออกของถนนเสวียนอู่ที่มุ่งสู่เมืองหลวงส่วนมากจะเป็นที่พักอาศัยของพวกคหบดี แม้จะไม่โอ่อ่าหรูหราเหมือนถนนจูเชี่ย แต่ก็ล้วนเป็นคฤหาสน์ใหญ่โตและก่อสร้างอย่างวิจิตรบรรจง
เมื่อเทียบกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของถนนจูเชี่ยแล้ว ถนนเสวียนอู่มีคนประเภทต่างๆ พักอาศัยปะปนกัน คนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าฝั่งตะวันออกของถนนจูเชี่ยเป็นพวกคนมั่งมี จึงพากันตั้งร้านค้าต่างๆ มากมาย ส่วนด้านฝั่งตะวันตกของถนนเสวียนอู่ พวกขอทานก็มักวนเวียนอยู่แถวบ้านคนรวยเพราะมีโอกาสได้รับเงินทองอาหารมากกว่า
ดังนั้นบริเวณนี้แม้จะคึกคักแต่ก็วุ่นวายมาก หน้าบ้านคนรวยมักมีขอทานเฝ้ารอตั้งแต่เช้า รอคอยพวกคนในบ้านนำอาหารค้างคืนออกมาเททิ้ง บางครั้งยังแย่งกันอย่างดุเดือดจนต่อยตีกันก็มี
พวกทหารสายตรวจกับคนของหน่วยอู่เฉิงปิงหม่าซือก็หลับตาข้างหนึ่ง ขอเพียงไม่วิวาทจนเกิดเรื่องใหญ่โต พวกเขาก็พอใจที่จะเก็บค่าคุ้มครองเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง
แต่มีอยู่บ้านเดียวที่ห้ามขอทานเข้าใกล้โดยเด็ดขาด ใครขืนเข้าใกล้เป็นต้องโดนเจ้าหน้าที่ทางการหวดแส้เข้าใส่ นานวันเข้าหน้าประตูบ้านนี้จึงไม่มีใครเลย คล้ายกับหน้าบ้านของขุนนางบนถนนจูเชี่ย
แต่บางครั้งก็มีขอทาน ‘พลัดถิ่น’ ที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้พยายามจะเข้าใกล้บ้านหรูหราหลังนี้
“ไสหัวไป ไม่มีตาหรืออย่างไร ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นที่ไหนหรือ อย่ามายุ่งกับข้า ระวังจะโดนแส้!” ทหารชุดดำเงื้อแส้ฟาดใส่ขอทานคนหนึ่ง
ขอทานคนนั้นถูกแส้หวดใส่ศีรษะและใบหน้าหลายครั้งจนเลือดอาบ รีบอุ้มชามแตกในมือทั้งกลิ้งทั้งคลานเข้าไปทางตลาดด้านตะวันออก
พวกขอทานที่ยองอยู่กับพื้นไม่ไกลนักพากันหัวร่อสมน้ำหน้า ชี้มือชี้ไม้ ถ้ามิใช่ทหารชุดดำที่หน้าเหมือนพญายมยืนอยู่ เกรงว่าพวกเขาคงไปกระทืบขอทานเคราะห์ร้ายซ้ำแล้ว
จิตวิปริตของผู้อ่อนแอ มักดีอกดีใจที่เห็นคนถูกรังแกจนอนาถกว่าตน และเท่ากับระบายความคับแค้นของตนเองลงไปในความอเนจอนาถของผู้อื่น
ขอทานน้อยผอมโซกัดริมฝีปากแน่น อุ้มชามที่แตกเป็นสองเสี่ยงนั่งที่ริมกำแพงน้ำตาคลอเบ้า
ใครๆ ก็บอกว่าในเมืองหลวงจะได้ข้าวต้มกิน แต่ค่ำนี้จะเอาอะไรใส่ไปให้น้องสาวที่ป่วยไข้เล่า
เคร้ง ชามกระเบื้องเคลือบปากบิ่นใบใหญ่หล่นลงหน้าขอทานน้อย ในนั้นยังมีหมั่นโถวที่กินแล้วเหลืออยู่ครึ่งลูก
ของเช่นนี้สำหรับขอทานที่ชินกับการได้เศษหมูเห็ดเป็ดไก่จากบ้านเศรษฐีแล้ว ไม่มีใครอยากเหลียวแล
“มีกินก็กินเถิด คราวหน้าขืนบุ่มบ่ามเช่นนี้ คงต้องอดตายคาถนนแล้ว” เสียงเย็นชาดังขึ้นเหนือศีรษะของขอทานน้อย เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่สง่าคมสัน ดวงตางดงามของคนผู้นี้ไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก ไม่มีแววอันสูงส่งของผู้ให้และไม่มีแววหยามเหยียดต่อผู้รับ
แสงตะวันสาดส่องบนหน้าเขา ทำให้ดูเหมือนผิวหน้าของเขาแทบโปร่งใส
ขอทานน้อยมองดูอย่างงงงัน เขาไม่เคยเห็นคุณชายที่ดูดีถึงเพียงนี้มาก่อน และถึงกับลืมกล่าวขอบคุณ
คุณชายเยาว์วัยในชุดเขียวก็มิได้มีโทสะเพราะท่าทางเซ่อซ่าของเขา เพียงยิ้มน้อยๆ หันกายเข้าไปในประตูหลังของคฤหาสน์ที่เมื่อครู่เขาถูกขับไล่
ขอทานน้อยอยากเรียกไว้ บอกว่าตรงนั้นไปไม่ได้ จะโดนตี แต่เขาเห็นด้านหลังคุณชายไม่เพียงมีเด็กรับใช้คนหนึ่ง และตัวเขาเองแม้จะสวมใส่ธรรมดา แต่เนื้อผ้าใต้แสงตะวันสะท้านแสงพลิ้วไหวอย่างนุ่มนวล เขาจึงหุบปากลง ได้แต่ยืนเซ่อจ้องมองเงียบๆ อยู่กับที่
ชิวเยี่ยไป๋ย่อมรู้ว่าด้านหลังของตนมีคนนิ่งเป็นเบื้อจ้องมองอยู่ นางเพิ่งถึงปากประตู เจ้าทหารร่างใหญ่ก็เดินออกมาขวางไว้ทันที
ทหารชุดดำมองนางขึ้นๆ ลงๆ ยังเดาไม่ออกว่านางมีความเป็นมาอย่างไร จึงยังถามอย่างค่อนข้างเกรงใจว่า “คุณชายท่านนี้ ท่านมีธุระอะไรหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋มองเขายิ้มเนือยๆ กล่าวว่า “ข้าอยากพบคุณชายใหญ่ตระกูลเหมย”
ไม่ผิด วันนี้นางนำเสี่ยวชีมาเยือนถ้ำมังกรเพื่อพบพ่อค้าหลวงอันดับหนึ่งของแผ่นดิน เพียงแต่ถึงหน้าประตูแล้วบอกว่าไม่มีเทียบของทางการและไม่มีการส่งหนังสือนัดหมายมาก่อน แม้คนเฝ้าประตูจะดูเหมือนเกรงอกเกรงใจแต่เขาก็ขวางไว้อย่างมิลังเล คงเพราะไม่มีเทียบแสดงตัว จึงต้องมาที่ประตูหลัง