ยังดีที่เหมยเซียงจื่อไปเมืองหลวงไม่บ่อยนัก ส่วนมากนางจะพักอยู่ในบ้านตระกูลเหมยที่เจียงหนาน จึงมิได้ถูกกีดกันจากเหล่าคุณหนูในเมืองหลวง
บัดนี้นางกลับรู้สึกว่า ชื่อเสียงหญิงงามอันดับหนึ่งนี้ช่างสมกับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหมยจริงๆ
แม้ในยามตำหนิผู้คน วาจาน้ำเสียงยังคงนุ่มนวลอ่อนหวาน ปราศจากแววเสแสร้งแม้แต่น้อย
“รองพ่อบ้าน เจ้ายังไม่เอาผ้าแพรของคุณหนูใหญ่จากมือของคนหน้าไม่อายอีก ระวังคุณชายใหญ่จะตีขาสุนัขของเจ้าให้หักนะ” หญิงรับใช้คนหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากด้านหลังคุณหนูใหญ่ ตวาดใส่รองพ่อบ้านอย่างเย็นชา
รองพ่อบ้านตัวแข็ง นึกถึงคุณชายใหญ่ผู้แสนรักใคร่ฟูมฟักคุณหนูใหญ่ มีหรือจะยอมให้บุรุษแปลกหน้าหยิบฉวยผ้าแพรเช็ดหน้าของคุณหนูใหญ่ ขณะจะดึงผ้าจากมือชิวเยี่ยไป๋ กลับเห็นชิวเยี่ยไป๋ตวัดแขนเสื้ออย่างงดงาม แพรบางผืนน้อยก็ลอยละล่องดุจปุยเมฆขึ้นบนสะพาน
หญิงรับใช้งงงัน รีบเอื้อมมือคว้าแพรเช็ดหน้า นึกไม่ถึงว่าผ้าแพรเหมือนมีชีวิต จึงได้ลอยหลบมือของหญิงรับใช้ แล้วพลิ้วลงบนตะกร้าของเหมยเซียงจื่อ
ฝีมือนี้ทำเอาทุกคนบนสะพานงงงัน
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มให้น้อยๆ “บังเอิญลมเป็นใจพัดส่งให้ คุณหนูใหญ่อย่าทำหล่นอีกนะ ผ้าหอมถูกลมพัดลงน้ำ แม้จะให้คนไปงมขึ้นมาได้ กลิ่นหอมซูเหอเซียงถูกน้ำแล้วคงไม่หอมเหมือนเดิมแน่”
ถ้านางเดาไม่ผิด คุณหนูใหญ่คนนี้กำลังเสาะหากลีบบุปผาเพื่อทำน้ำหอมซูเหอเซียงซึ่งต้องใช้ผ้าแพรบางห่อไว้แล้วอบร่ำเจ็ดวันเจ็ดคืน จากนั้นจึงใช้แพรหอมเป็นกระสายห่อกลีบบุปผาเก็บไว้ในไหจึงจะสำเร็จ แพรหอมเมื่อครู่ก็คือกระสายสำหรับทำน้ำหอม
กับดรุณีน้อยที่ทำให้นางรำลึกถึงความหลังอันหวานชื่น นางยินดีจะพูดจาด้วยน้ำเสียงรื่นหู
เพียงแต่ชิวเยี่ยไป๋ไม่รู้ตัวว่า เมื่อครู่ที่ตวัดแขนเสื้อขึ้น พลังลมสายหนึ่งที่ระไปกับยอดพุ่มไม้เตี้ยโดยไม่ตั้งใจ ทำเอากิ่งใบสั่นไหว ดอกไม้พุ่มหนึ่งร่วงหล่นลงมา
ในสายตาของคนบนสะพาน บุรุษเยาว์วัยผู้นี้เมื่อได้เห็นโฉมหน้าที่งดงามของตนแล้ว มิมีแววของความลุ่มหลงละโมบดั่งที่ตนเคยพบจนชินตา กลับมีเพียงแววตาที่ชื่นชมเล็กน้อย
เขายืนไพล่หลังอย่างสงบในเรือ เสื้อเขียวพลิ้วไหวงามสง่าราวต้นไผ่ กลีบดอกไม้ร่วงหล่นโปรยปรายบนศีรษะ บนไหล่ ดวงตาคู่งามฉายแววนุ่มนวล งามวิจิตรราวกับภาพวาด
คำพังเพยที่กล่าวกันว่าหนุ่มน้อยบนคันนาเป็นใครหนอ จึงสง่างามกรุ้มกริ่มเช่นนี้ ก็คงเป็นเช่นบัดนี้เอง
เหมยเซียงจื่อตะลึงเช่นกัน
ชิวเยี่ยไป๋มิได้ถือสาที่นางเสียกริยา แต่เจ้ารองพ่อบ้านกลับร้อนใจ จนเร่งให้หญิงรับใช้ที่ทำหน้าที่พายเรือให้รีบพาย สภาพที่เหมือนเกรงว่าชิวเยี่ยไป๋จะล่อลวงคุณหนูใหญ่ของตน ทำเอาชิวเยี่ยไป๋นึกขัน
“เร็วหน่อย อย่าให้คุณชายใหญ่รอนาน”
เรือลำน้อยแล่นพ้นใต้สะพาน มุ่งหน้าช้าๆ ดวงตาเหมยเซียงจื่อฉายแววเย็นชาแวบหนึ่ง
“เร็วเข้า เร็ว…” รองพ่อบ้านเร่งอีก พลันเสียง ตูม ดังสนั่น
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจจากบนสะพาน “แย่แล้ว คุณหนูใหญ่ตกน้ำแล้ว!”
ชิวเยี่ยไป๋ตกใจเหลียวไปมอง เห็นน้ำกระเซ็น บนสะพานปราศจากเงาร่างของดรุณีน้อย
หญิงรับใช้บนสะพานหน้าซีดเผือด กล่าวว่า “คุณ…คุณหนูใหญ่ ว่ายน้ำไม่เป็น!”
ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินก็ไม่คิดอะไร กระโจนลงน้ำตามสัญชาตญาณในพริบตา
น้ำในลำน้ำเดือนหกไม่เย็นนัก แต่การลงน้ำโดยไม่ทันเตรียมตัวยังคงทำให้ชิวเยี่ยไป๋สยิวกายด้วยความหนาวเย็น นางรีบเดินพลังลมปราณจากจุดตันเถียน มองหาเงาร่างในน้ำ
แม้น้ำในบึงจะใส แต่ก้นสระยังคงเต็มไปด้วยตะไคร่และหญ้าน้ำซึ่งเป็นอุปสรรคต่อสายตา และขณะที่ชิวเยี่ยไป๋สอดส่ายสายตาจึงพบว่าน้ำมีความลึกผิดปกติ นางถึงกับมองเห็นสภาพก้นบึงไม่ถนัด
แต่เหมยเซียงจื่อเพิ่งตกน้ำไม่นาน นางกลั้นหายใจอึกหนึ่ง ว่ายไปครู่หนึ่งก็พอจะเห็นเงาร่างสีรากบัวลางๆ
ชิวเยี่ยไป๋รีบว่ายเข้าหาทันที จึงพบว่าเหมยเซียงจื่อหมดสติไปแล้ว ผิวกายขาวผ่องในน้ำซีดเซียว ในมือยังจับตะกร้าไว้แน่น กลีบบุปผากระจายออกจากตะกร้าลอยล่องสู่ผิวน้ำ ห่อห่มร่างของเหมยเซียงจื่อไว้ กระโปรงยาวของนางพลิ้วไหวในสายน้ำ ดูแล้วเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในน้ำ เป็นความงามอันเย็นเยือกน่าพิศวง
ชิวเยี่ยไป๋งงงันวูบหนึ่ง รีบว่ายน้ำไปด้านหลังนาง โอบมือกับอกนางแล้วพาตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ
ซ่า เสียงน้ำแยกออกจากกัน ชิวเยี่ยไป๋ลูบหน้าก็เห็นในน้ำมีบ่าวไพร่อีกหลายคนที่ลงน้ำไปช่วยเจ้านาย บนฝั่งก็มีบ่าวไพร่มุงดูอยู่ไม่น้อย เสียงจอแจอึงคะนึง
ยังคงเป็นหญิงรับใช้คนเดิมตั้งสติได้เร็วที่สุด พอเห็นผิวน้ำแหวกออก เสื้อสีรากบัวโผล่ให้เห็นนางก็กระโดดร้องลั่น “เร็ว คุณหนูใหญ่อยู่นี่ เร็วเข้า เร็วเข้า!”
บนฝั่งเสียงจ๊อกแจ๊กดังลั่น หลายคนพากันกระโดดลงน้ำ รองพ่อบ้านก็กระโดดลงและว่ายน้ำไปยังที่ที่ชิวเยี่ยไป๋และเหมยเซียงจื่อลอยคออยู่ ปากก็ร้องลั่น “เร็วเข้า รีบฉุดคุณหนูขึ้นฝั่งเร็ว!”
ชิวเยี่ยไป๋เห็นแล้วก็อดขมวดคิ้วมิได้ คนมากมือไม้เยอะ บัดนี้เหมยเซียงจื่อเปียกโชกทั้งตัว เสื้อผ้าหน้าร้อนบางเบา เนื้อผ้าแนบตัวจะเผยทุกสัดส่วน จะให้คนมากมายเห็นได้อย่างไรกัน
นางจึงไม่นำพาพวกคนที่ว่ายเข้าหา โอบเหมยเซียงจื่อไว้แล้วว่ายเข้าหาเรือที่อยู่ใกล้ที่สุด รองพ่อบ้านเห็นนางโอบคุณหนูว่ายห่างจากพวกตนก็ร้อนใจ ตวาดลั่น “เฮ้ย! เจ้าทำอะไร…”
คำพูดที่เหลือถูกกลืนลงไป เพราะพอชิวเยี่ยไป๋ว่ายถึงกราบเรือ ก็ใช้มือหนึ่งคว้ากราบเรือไว้ แล้วอุ้มเหมยเซียงจื่อกระโดดขึ้นเรือในพริบตาด้วยท่าทางงดงามราวมังกรคะนองน้ำ
พอขึ้นเรือได้ชิวเยี่ยไป๋รีบกึ่งยองตัวอยู่ข้างกายเหมยเซียงจื่อ ยกร่างเหมยเซียงจื่อไว้บนต้นขาข้างหนึ่ง ปลายนิ้วรอที่จมูกพบว่านางหายใจติดๆ ขัดๆ และลมหายใจอ่อนมาก จึงขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วตวัดข้อมือทุบที่กลางหลังนางหลายครั้ง
เหมยเซียงจื่อถูกทุบหลังก็อาเจียนน้ำออกมา “แค่ก แค่ก แค่ก…”
เห็นเหมยเซียงจื่ออาเจียนน้ำออกและหายใจโล่งขึ้นไม่น้อย จึงสั่งสาวใช้พายเรือที่ยืนตะลึงอยู่ว่า “รีบเอาเสื้อกันฝนมาคลุมให้คุณหนูเร็ว”
ชิวเยี่ยไป๋วางร่างเหมยเซียงจื่อกับท้องเรืออย่างระมัดระวัง และสั่งการต่อหญิงพายเรืออย่างมิลนลาน
สาวใช้พายเรือจู่ๆ เห็นคนกระโดดขึ้นเรือยังไม่ทันได้ตั้งสติ ยามนี้เห็นบุรุษเยาว์วัยที่ใบหน้างดงามมีน้ำเกาะพราวกำลังพูดกับตน พริบตานั้นก็หน้าแดงฉานแล้วสายตาจึงเลยมองไปบนร่างที่บุรุษเยาว์วัยอุ้มอยู่ เห็นคุณหนูของตนเหมือนเปลือยเปล่า นางจึงตกใจและผงกศีรษะอย่างลนลาน รีบไปนำเสื้อกันฝนในเรือมาคลุมให้เหมยเซียงจื่อ
“ขอบพระคุณ…ขอบพระคุณคุณชาย”
ขณะพูดกันอยู่ รองพ่อบ้านตัวเปียกโชกก็ปีนขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล เห็นคุณหนูของตนที่มีเสื้อกันฝนคลุมอยู่นอนแน่นิ่งก็รีบพุ่งเข้าหา ปลายนิ้วสั่นเทารอที่จมูกคุณหนู พริบตาเดียวก็ถอนใจอย่างโล่งอก พึมพำว่า “อามิตตาพุทธ โชคดีที่คุณหนูไม่เป็นไร!”