สมกับที่เป็นบ้านพ่อค้าหลวงอันดับหนึ่งของแผ่นดินจริงๆ และเป็นผู้มีคุณสมบัติตัดเย็บอาภรณ์ให้ราชนิกุล
ก่อนที่ชิวเยี่ยไป๋จะสวมใส่จนเรียบร้อย เหมยซูมิได้ขึ้นไปชั้นบนอีกเลย
จนกระทั่งนางลงมาชั้นล่าง ยังเห็นเหมยซูกำลังเพ่งพิศบรรดาก้อนหินที่สะสมไว้อย่างเพลิดเพลิน ยื่นมือลูบๆ คลำๆ เนื้อหินเหล่านั้นไม่หยุด บนมืออีกข้างยังถือมีดแกะสลักเล่มหนึ่ง เคาะลงบนหินเหล่านั้นเบาๆ คอยฟังเสียงของก้อนหิน
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วกล่าวว่า “งานอดิเรกของคุณชายใหญ่เหมยช่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมานัก คิดไม่ถึงว่าจะชื่นชอบการสลักหิน”
เหมยซูได้ยินคำพูดนางกลับไม่ได้หันศีรษะมา ยังคงเล่นก้อนหินของเขาต่อไป พลางกล่าวเหมือนประชดตนเองว่า “เหมยซูก็แค่พ่อค้าธรรมดา ย่อมมิอาจเทียบกับรสนิยมของผู้สูงศักดิ์ แม้จะชอบสะสมหินแปลก ก็เพียงเพราะรู้สึกว่าของที่เป็นธรรมชาติย่อมมีจิตวิญญาณและความขลังในตัวเองเท่านั้น”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วก็เข้าใจ บรรดาคุณชายในตระกูลผู้สูงศักดิ์มักนิยมชมชอบโคลงฉันท์กาพย์กลอนและภาพเขียน บ้างก็ชอบสะสมวัตถุโบราณ น้อยคนที่จะสนใจการแกะสลักหินและไม้ คงเพราะเกี่ยงว่าเป็นของหนักและต้องผ่านการประดิดประดอย เสมือนหนึ่งลดชั้นของตนเอง
นางเดินช้าๆ ถึงข้างกายเขา เห็นเขากำลังลูบคลำหินขรุขระก้อนหนึ่ง จึงกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “ความจริงการชมชอบก้อนหินก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่ ข้าเองกลับเห็นว่าพวกภาพเขียนและวัตถุโบราณล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ด้วยฝีมือคน ที่ไม่ผ่านการประดิดประดอยเลยกลับเป็นก้อนหินนี่แหละ เป็นธรรมชาติและไม่หลอกลวงใคร อีกทั้งไร้เล่ห์อุบายมิใช่หรือ”
เหมยซูเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ริมฝีปากบางเฉียบเผยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าจะรู้ซึ้งเช่นนี้ ช่างเป็นผู้สูงส่งจริงๆ”
น้ำเสียงราบเรียบ ยกยอปอปั้นอย่างไร้ความจริงใจเจือด้วยการถากถาง กลับทำให้คนฟังรู้สึกสบายหู ราวกับว่าเขากำลังชื่นชมจากใจจริง
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มบางๆ หยิบหินก้อนหนึ่งจากภูเขาไท่ซานขึ้นลูบคลำ “ผู้สูงส่งคงมิบังอาจรับไว้ ข้ายังเคยได้ยินมาว่า ผู้ที่รักชอบศิลาหินแปลก ส่วนมากเป็นคนลึกซึ้งและรอบคอบ จะไม่เชื่อถือใครโดยง่าย เพราะก้อนหินไร้สำเนียง พวกเขาจึงมีเวลาให้ครุ่นคิด”
มือของเหมยซูหยุดลง จ้องมองชิวเยี่ยไป๋ครู่หนึ่ง แววตาทำให้ผู้คนนึกถึงสายหมอกบนผิวน้ำของทะเลสาบซีหู “ใต้เท้าชิว ท่านมักพูดจาตรงๆ เช่นนี้เสมอหรือ”
ตรงจนเหมือนคุกคาม
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว “อ้อ อย่างนั้นหรือ ข้าเป็นคนสุภาพนุ่มนวลเสมอมา แต่กลับทำให้คุณชายใหญ่เข้าใจผิด นี่ประหลาดแล้ว!”
เหมยซูจ้องมองใบหน้าผุดผาดเย็นชาของนาง แล้วหัวร่อเบาๆ คล้ายจนใจว่า “ใต้เท้าพูดถูก โบราณว่าไว้ สนามการค้าเหมือนสนามรบ ในฐานะของพ่อค้า ถ้าปราศจากจิตใจอันลึกซึ้งจะมีที่ยืนในวงการค้าได้อย่างไร ส่วนความเชื่อถือ…”
เขากล่าวต่อเนือยๆ ว่า “แต่ไหนแต่ไรมา เหมยซูจะเชื่อคนที่ควรค่าแก่การเชื่อถือเท่านั้น ใต้เท้าเห็นเป็นอย่างไร”
ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อ “คุณชายเหมยก็เป็นคนตรงเช่นกัน พูดจาได้กลมกลืนไร้ที่ติ”
นางยอมรับโดยดุษฎีเลย วาจาไร้พิรุธแม้แต่น้อย สมกับที่เป็นประมุขบ้านพ่อค้าหลวงอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
ดูเหมือนเหมยซูจะเริ่มชินกับคำพูดเชิงคุกคามของชิวเยี่ยไป๋ แววตาจึงนุ่มนวลลงกล่าวว่า “ใต้เท้าชิว หอเก็บหินนี้มิใช่สถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุย เหมยซูสั่งตั้งโต๊ะอาหารไว้ที่หน้าลานแล้ว ไม่ทราบว่าจะได้รับเกียรติจากใต้เท้าร่วมดื่มหรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋ไม่ตอบแต่พยักหน้า มือไพล่หลังเดินออกไป “ขอเพียงมิใช่งานเลี้ยงหงเหมิน[1] จะไม่ร่วมได้อย่างไร”
เหมยซูหยุดลง ดวงตาเรียวยาวที่จ้องมองเงาหลังของชิวเยี่ยไป๋ ฉายประกายแวบหนึ่ง เจ้าใต้เท้าชิวคนนี้ไม่เคยละเว้นโอกาสการจิกกัดเลย
เขาพลันกล่าวว่า “ใต้เท้าขอรับ ที่เหมยซูชมชอบก้อนหินยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง”
ชิวเยี่ยไป๋หยุดเท้า หันไปมองก็เห็นเขายกมือขึ้น ในมือยังมีหินขนาดเท่าไข่ห่านก้อนนั้น
“ใต้เท้าอาจมิรู้ ก้อนหินซึมซับพลังแห่งฟ้าดิน เหมยซูนอกจากชมชอบความขลังเหมือนมีจิตวิญญาณนี้แล้ว ยังมีเหตุสำคัญคือ…หินบางก้อนที่เปลือกนอกดูน่าเกลียด ถ้าบรรจงผ่าให้ดีอาจพบอัญมณีที่มีค่าควรเมืองอยู่ข้างในก็เป็นได้”
เหมยซูใช้มีดแกะสลักในมือเคาะก้อนหินเบาๆ ก็มิรู้ว่าเขาใช้ฝีมืออย่างไร ก้อนหินที่ดูจากภายนอกแล้วหยาบกระด้างแข็งแกร่งแยกออกจากกันในพริบตา เผยให้เห็นหยกสีเขียวสดใสอยู่ภายใน
สีเขียวสดใสนั้นราวกับสายน้ำจากบึงลึกทะลักออกจากก้อนหิน ความสดใสแวววาวทำเอาชิวเยี่ยไป๋งงงัน ภายในของหินขรุขระก้อนนี้ถึงกับมีมรกตล้ำค่า
มรกตน้ำดีระดับนี้ คงมีเพียงเจ้านายในวังไม่กี่คนที่คู่ควร
“ใต้เท้า เหมยซูเป็นคนค้าขาย รสนิยมจึงออกจะหยาบกร้าน แต่ก็ชอบเสาะหาหยกเนื้อดี” เขายิ้มอย่างพอใจ แววตาเฉยเมยจ้องบนร่างชิวเยี่ยไป๋
ชิวเยี่ยไป๋สะดุ้ง จ้องกลับด้วยแววตาเย็นชา
เสาะแสวงหาหยกเนื้อดี
เจ้าคุณชายเหมยคนนี้ซ่อนความนัยไว้ในวาจา
เหมยซูเชิดมุมปากเล็กน้อย คล้ายเปล่งวาจาโดยมิได้ใส่ใจ “ใต้เท้า เชิญ”
ชิวเยี่ยไป๋เก็บสายตาเย็นชากลับคืน หันกายเดินออกจากประตู
สถานที่ที่เหมยซูจัดโต๊ะเลี้ยงอยู่ในศาลาเก๋งน้อยที่จัดสร้างอย่างงดงาม หลังคามุงด้วยผลึกแก้ว ตัวศาลาเก๋งสร้างอยู่บนภูเขา นั่งในเก๋งสามารถเห็นทัศนียภาพที่งดงามของสวนดอกไม้และป่าเขาสายน้ำจำลอง
นอกจากชมทิวทัศน์อันงดงามแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ยังได้เห็นการก่อสร้างคฤหาสน์ตระกูลเหมยที่ดูจากภายนอกแล้วเหมือนบ้านคหบดีทั่วไป แต่ภายในกลับหรูหราอย่างยิ่ง เนื้อที่กว้างใหญ่มิได้ด้อยไปกว่าคฤหาสน์ผู้สูงศักดิ์ตระกูลใดเลย และรูปแบบการก่อสร้างล้วนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของแดนใต้ ความวิจิตรบรรจงเหนือล้ำกว่าตระกูลขุนนางใหญ่เสียอีก
“คุณชายเหมยช่างเป็นผู้ที่มีรสนิยมและเปี่ยมด้วยความสามารถอย่างแท้จริง” ชิวเยี่ยไป๋ชื่นชมจากใจจริง
เหมยซูอมยิ้ม “มิบังอาจ ใต้เท้าเชิญนั่งลง”
จากเหตุการณ์เมื่อครู่จนถึงขณะนี้ก็ล่วงไปครึ่งวันแล้ว ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกหิวจริงๆ จึงนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ
คนรับใช้รอบข้างไม่มาก เสี่ยวชีถูกพาตัวไปกินข้าวแล้ว ข้างกายจึงมีเพียงเด็กรับใช้เสื้อม่วงสองคน แต่พวกนางจัดเรียงสำรับอย่างคล่องแคล่ว
ชิวเยี่ยไป๋เห็นบนโต๊ะมีปลาทอดเปรี้ยวหวาน หน่อไม้ลวก เป็ดอบเครื่องเทศ กุ้งทอด หน่อไม้ฝรั่งหั่นฝอยอบเนื้อขาหลังหมูหมักเกลือ กุ้งตุ๋นโสมดำ ต้มเครื่องในไส้หมูยัดไส้ เต้าหู้ทรงเครื่อง ยังมีรากบัวเชื่อมน้ำตาลจานเล็ก เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของเจียงหนาน และอาหารทุกจานรองด้วยใบบัวและกลีบบัว แลดูสดใสงดงามและกรุ่นด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของดอกบัว
นางพลันหวนนึกถึงตอนท่องแดนใต้กับท่านอาจารย์เมื่อครั้งวัยเยาว์ แววตาจึงนุ่มนวลลง
เหมยซูแลดูนางพลางยิ้มน้อยๆ “คิดว่าใต้เท้าคงเคยลิ้มชิมอาหารพื้นบ้านของพวกเรามาก่อน ลองดูสักหน่อยว่าจะเหมือนในความทรงจำของใต้เท้าหรือไม่”
ว่าแล้วเขาก็ใช้ตะเกียบคีบกุ้งทอดไว้ในจานเล็กเบื้องหน้าชิวเยี่ยไป๋ หยิบกรรไกรเงินอันเล็กช่วยนางตัดครีบและหางกุ้งด้วยพลางกล่าวว่า “เป็นกุ้งที่เพิ่งจับขึ้นจากบึงในเดือนหก เลี้ยงมาหนึ่งปีแล้ว ยามนี้มีทั้งมันและไข่ รสชาติอร่อยที่สุด”
——
[1] งานเลี้ยงหงเหมิน หมายถึงงานเลี้ยงที่ฌ้อป้าอ๋องเซี่ยงอวี่จัดขึ้นต้อนรับหลิวปัง ซึ่งในเวลาต่อมาคือพระเจ้าฮั่นเกาจู่ผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น เป็นงานเลี้ยงที่ซ่อนเล่ห์ร้ายหมายชีวิต เหตุเกิดเมื่อเดือนสิบสองก่อนคริสตศักราช 206 ปี