อากัปกริยาของเขาคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ ไม่ประจบไม่สอพลอ เป็นธรรมชาติจนเหมือนเขากำลังบริการสหายเก่า
ชิวเยี่ยไป๋มองดูแล้วรู้สึกไม่ควรปฏิเสธจึงใช้ตะเกียบคีบกุ้งทอดลองชิมดู
กุ้งเข้าปากทั้งหอมทั้งกรอบ เนื้อแน่นหวานมัน นางจึงอดชมมิได้ว่า “นานแล้วที่ไม่ได้กินอาหารเจียงหนานดั้งเดิมเช่นนี้ พ่อครัวที่นี่ฝีมือยอดเยี่ยม”
เหมยซูเมื่อครู่ช่วยนางแกะกุ้ง ปลายนิ้วขาวสะอาดจึงเปื้อนเป็นมันเล็กน้อย ดูเหมือนเขาเองก็อยากลิ้มชิมกุ้งตัวนั้นด้วยเช่นกัน จึงมิได้ใช้ผ้าแพรเช็ดออก แต่เลียปลายนิ้วเลยแล้วเงยหน้าแลดูนาง กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ถูกต้อง พ่อครัวใหญ่คนนี้เราเพิ่งเชิญมาจากเจียงหนาน เดือนหกเหมาะกับการกินกุ้ง ถ้าใต้เท้ามาในเดือนสี่ก็จะได้กินปลา ก่อนเทศกาลสารทเช็งเม้งปลาดาบก้างนิ่มที่สุด เนื้อปลาเข้าปากก็ละลาย แต่พอผ่านเช็งเม้งไปแล้วก้างจะแข็ง รสชาติจะทอนลงไม่น้อย”
คนทั่วไปหากทำปฏิกิริยาเช่นนี้อาจดูแล้วน่าเกลียด แต่พอเป็นเหมยซูกลับดูแล้วโอ่อ่าน่านิยม
ชิวเยี่ยไป๋เห็นเขาลองชิมรสกุ้งด้วยการเลียปลายนิ้ว ก็เกิดความรู้สึกประหลาดคล้ายกับได้กินกุ้งตัวเดียวกันอย่างสนิทสนม นางจึงวางตะเกียบลงกล่าวเนือยๆ ว่า “คนในแถบซูโจวและอู๋โจวรู้จักเลือกอาหารเหมาะกับฤดูกาลเป็นที่สุด”
เหมยซูเห็นนางไม่แตะกุ้งทอดที่ตนช่วยตัดหางให้อีก ดวงตาฉายแวววิบวับ คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าพูดถูก”
ทั้งสองดื่มกินด้วยกัน คุยกันบ้างถึงทัศนียภาพต่างๆ ของเจียงหนานและต่างก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องคดีเลยราวกับนัดกันไว้ ถือว่าต่างก็เป็นเจ้าบ้านและอาคันตุกะที่ดี
ระหว่างกินอาหารชิวเยี่ยไป๋พิจารณาดูเหมยซู เห็นทุกกริยาของเขาปราศจากแววเย่อหยิ่งของคนตระกูลใหญ่แม้แต่น้อย การพูดการจาก็สุภาพเรียบร้อย ทำให้คู่สนทนาสบายใจอย่างยิ่ง
คนคนหนึ่งสามารถทำให้คนที่ตั้งตัวมาเป็นศัตรู กลับรู้สึกสบายใจยามอยู่ร่วมกัน ความสามารถชนิดนี้คนทั่วไปคงทำไม่ได้
ชิวเยี่ยไป๋แลดูบุรุษเบื้องหน้าที่ไม่ว่าจะยกมือหรือวาดเท้าล้วนกรุ่นด้วยกลิ่นอายของดินแดนแห่งน้ำผู้นี้ นางจำต้องยอมรับว่ารู้สึกชื่นชมเขา
ชิวเยี่ยไป๋ที่เริ่มผ่อนคลายลงและวางตัวเป็นธรรมชาติย่อมตกอยู่ในสายตาของเหมยซู เขายิ้มน้อยๆ วางตะเกียบลงกล่าวว่า “ไม่ทราบใต้เท้าอิ่มหรือยัง”
ชิวเยี่ยไป๋ใช้แพรเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก หลังวางลงก็กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ขอบพระคุณการต้อนรับของคุณชายใหญ่ มื้อนี้ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ข้าช่วยชีวิตน้องสาวท่านกระมัง”
เหมยซูงงงัน ส่ายหน้ากล่าวว่า “ก็แค่อาหารธรรมดา หากใช้วิธีนี้ขอบคุณใต้เท้า แสดงว่าตระกูลเหมยมิบังควรแล้ว เหมยซูรู้ว่าใต้เท้าคงมิชมชอบของมีค่า แต่ของขวัญการขอบคุณย่อมจะขาดเสียมิได้”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วแล้วหลุบตาลงกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าหลายคนที่มาสืบคดีก่อนข้า ก็ได้รับการต้อนรับจากท่านเช่นนี้หรือไม่ ความเอาใจใส่ของคุณชายใหญ่กลับทำให้ข้าสงสัยว่าคุณชายใหญ่แคลงใจจริงหรือไม่”
คำพูดแหลมคมเช่นนี้ ต่อให้คุณชายใหญ่เหมยใจเย็นเพียงใดสีหน้ายังคงเคร่งขรึมขึ้น จับจ้องชิวเยี่ยไป๋ด้วยสายตาเย็นชา “ใต้เท้าชิว ท่านคิดมากไปแล้ว ที่จะให้ของขวัญก็เพราะท่านช่วยน้องสาวข้า ตระกูลเหมยไม่ชอบติดค้างบุญคุณใคร และวันหน้าจะได้ไม่ต้องถูกใครใช้เป็นข้ออ้างในการบังคับ ท่านว่าจริงไหม”
เมื่อครู่ยังคุยกันดีๆ อยู่แท้ๆ บัดนี้จะฉีกหน้ากันแล้ว
ชิวเยี่ยไป๋เห็นคนรูปงามชักโกรธ ปากคอคิ้วคางอึมครึมเหมือนฝนจะตก กลับรู้สึกน่าดูชมอีกแบบ นางเพ่งพินิจแล้วจึงยิ้มจางๆ กล่าวว่า “คุณชายใหญ่จะโมโหทำไม ข้าก็แค่พูดเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าท่านจะมีโทสะ”
เห็นสีหน้าของชิวเยี่ยไป๋เหมือนคนถูกปรักปรำโดยไร้ความผิด เหมยซูก็พูดไม่ออก “…”
รู้สึกว่าคนผู้นี้…หน้าด้านจริงๆ
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบงัน เด็กรับใช้คนหนึ่งพลันวิ่งมาอย่างรีบร้อน “คุณชายใหญ่”
เหมยซูหันไปมองเด็กรับใช้ “ข้าสั่งไว้แล้วนี่ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นห้ามรบกวน”
สีหน้าเหมยซูมิได้เกรี้ยวกราด แต่เด็กรับใช้กลัวจนหัวหด “คุณชายใหญ่ บ่าวผิดไปแล้ว แต่…มีเรื่อง…จริงๆ”
เขาโบกมือแล้วหันไปกล่าวกับชิวเยี่ยไป๋ “ขออภัย”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มให้เป็นเชิงไม่ถือสา
เหมยซูจึงให้เด็กรับใช้เข้ามารายงาน เด็กรับใช้ก้มลงกระซิบที่ข้างหูหลายคำ เหมยซูอึ้งไปและหลุบตาลง ไม่รู้ว่าคิดอะไร “เป็นเช่นนี้หรือ”
เด็กรับใช้รีบผงกศีรษะเป็นการใหญ่ เหลือบมองชิวเยี่ยไป๋แวบหนึ่ง ท่าทางเหล่านี้อยู่ในสายตาของ
ชิวเยี่ยไป๋อย่างชัดเจน
“มีอะไรหรือ เกิดเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับข้าด้วยหรือ” ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว
เหมยซูกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เปล่า มิได้เกี่ยวข้องกับใต้เท้าหรอก เพียงแต่อาการของน้องสาวข้าผิดแปลกไป ข้าขอตัวไปดูนางก่อนแล้วกัน ขอเชิญใต้เท้าไปพักในห้องสักครู่ ไว้เหมยซูค่อยเชิญใต้เท้าสนทนาใหม่ได้หรือไม่”
ชิวเยี่ยไป๋ลังเลเล็กน้อยแต่ยังคงพยักหน้า “เชิญคุณชายใหญ่ตามสบายเถิด”
เหมยซูลุกขึ้นแล้วจากไปพร้อมกับเด็กรับใช้ ครู่เดียวก็มีบุรุษท่าทางเหมือนเป็นผู้ช่วยพ่อบ้านมาเชื้อเชิญนางไปพักผ่อนอย่างพินอบพิเทา
ห้องหับของตระกูลเหมยตกแต่งอย่างประณีต เสี่ยวชีเปิดประตูก็เห็นลิ้นจี่จานหนึ่งบนโต๊ะ นึกดีใจรีบถลาเข้าไปหยิบกิน “ตระกูลเหมยร่ำรวยจริงๆ วันนี้ตอนข้าน้อยคุยกับพวกบ่าวไพร่ ฟังว่าลิ้นจี่ในวังก็ตระกูลเหมยนี่แหละเป็นผู้จัดการส่งไปถวาย”
สมดั่งคำโบราณที่ว่าม้าผ่านฟุ้งตลบ โฉมสะคราญแย้มสรวล ไม่มีใครรู้ว่าลิ้นจี่มาแล้ว ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่เก็บรักษายากมาก แต่ไหนแต่ไรมีแต่ผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติได้ลิ้มชิม
“นั่นนะสิ ความร่ำรวยของตระกูลเหมยเทียบได้กับวังหลวงทีเดียว” ชิวเยี่ยไป๋ปลิดลิ้นจี่ผลหนึ่ง ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
“มั่งคั่งดุจกษัตริย์…เออหนอ ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนรัชกาลใดก็ไม่ยอมให้ใครมั่งคั่งดุจกษัตริย์ แต่ตระกูลเหมยนี้กลับไม่กลัวเบื้องบนระแวง”
เสี่ยวชีกลืนลิ้นจี่เต็มคำ “เอ้อ ใช่แล้ว นายน้อยสี่ขอรับ ทำไมวันนี้ท่านจึงพูดจาหักหาญแหลมคมเช่นนั้น ข้าน้อยเห็นคุณชายเหมยสีหน้าอึมครึมเหมือนฟ้าจะผ่า”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูเสี่ยวชีหัวร่อเบาๆ “เจ้าช่างรู้ความจริงนะ คุณชายใหญ่ตระกูลเหมยเป็นคนรอบคอบระมัดระวัง นายน้อยของเจ้าจึงต้องทิ้งไพ่นอกกติกา”
โดยเฉพาะคนอย่างเหมยซูเห็นโลกกว้างมามาก เขาไม่มีทางลงมือโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ หากแต่ต้องการค่อยๆ ขุดคุ้ยเบื้องหลังของนาง เมื่อล่วงรู้วิธีทำงานของนางแล้วจึงค่อยวางแผน
หากเขาหวั่นเกรงนาง นางก็ยากจะได้เบาะแสจากตัวเขา ดังนั้นนางจึงต้องทำตัวให้อีกฝ่ายไม่กริ่งเกรง ไม่ทิ้งไพ่ตามกติกา เพื่อให้อีกฝ่ายว้าวุ่นเอง ให้เขาคาดเดาในตัวนางผิด ให้เขาไม่กล้าบุ่มบ่าม คนเราไม่ว่าทำอะไรก็ตามย่อมทิ้งร่องรอยไว้ นานวันเข้าก็จะเผยพิรุธเอง เมื่อนั้นนางก็จะเห็นช่องโหว่