หรือในยามที่เขาไม่ยิ้มแย้ม ดูอย่างไรก็ล้วนรู้สึกเช่นนั้น เพียงแต่ยามปกติไม่มีใครกล้าสบตาเขาเท่านั้น หรือหากต้องสบตากันจริงก็มักไม่กล้าจ้องนาน เพราะแรงดึงดูดสู่ความมืดมนนั้นคล้ายกับจะคร่าขวัญพรากวิญญาณ
แต่ดวงตาของไป๋หลี่ชูบางครั้งทำให้นางนึกถึงคำคำหนึ่ง…เทพเซียน
คำคำนี้สำหรับไป๋หลี่ชูแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะนางเคยเห็นรอยยิ้มของเขา งดงามจนพอที่จะล่มเมืองและทำให้ผู้คนลืมชีวินถวิลความตาย ความรู้สึกนี้ย้อนแย้งจนน่าพิศวง
แต่ทั้งหมดนี้กลับหลอมรวมในร่างเดียวกัน จึงน่าจะกล่าวว่าไอ้ตัวประหลาดนี่ไม่มีทางหวั่นไหวกับผู้ใดเลย
จึงทำให้นางอดสงสัยมิได้ว่าทำไมเขาจึงมุ่งมั่นต่อตนเช่นนี้ จนกล่าวได้ว่าคอยบีบบังคับทุกฝีก้าว คงต้องสรุปเป็นการชั่วคราวว่าความพิลึกพิลั่นเช่นนี้เกิดจากจิตวิตถารที่กลัวสิ่งสกปรก บวกกับความแปรปรวนของระบบประสาทและความปรารถนาใคร่ครอบครอง!
แต่เห็นได้ชัดว่า การขัดขืนของนางทำให้องค์หญิงตรงหน้าผู้นี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง แม้ชิวเยี่ยไป๋ยังไม่ทันได้แข็งขืน ก็ถูกรั้งเอวกระชากเข้าหา เขาเลิกคิ้วเผยอยิ้ม “เสี่ยวไป๋ ข้าเคยบอกว่าห้ามขัดขืนมิใช่หรือ หืม”
เอาล่ะ ความเป็นเทพเซียนหมดไปแล้ว ตอนนี้ความเป็นมารอสูรเข้าแทนที่แล้ว!
พลังนิ้วของเขาทำเอาชิวเยี่ยไป๋รู้สึกว่าเขากำลังจะกดนางให้จมเข้าไปในร่างของเขา อกที่รัดไว้ด้วยผ้าคาดอก…บัดนี้ยิ่งทำให้อึดอัดหายใจไม่ออก นางได้แต่ลอบกัดฟันอย่างมีโทสะ เอวของนางต้องมีรอยนิ้วทั้งห้าของไอ้บ้านี่เป็นแน่
“ข้าน้อยจะกล้าได้อย่างไร เพียงแต่ตัวฝ่าบาทมีกลิ่นสุราฉุนเกินไป ข้ายังไม่ได้กินมื้อเย็นด้วยซ้ำ ทนฤทธิ์สุราไม่ไหว” นางเกร็งเอวอย่างไร้สุ้มเสียง นางไม่ชอบเลยที่ต้องแนบชิดกับบุรุษที่ร่างกายเปียกโชกเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้หายอึดอัดที่อก
คนในอ้อมกอดทำให้สุ้มเสียงของไป๋หลี่ชูนุ่มนวลขึ้นบ้าง เขาก้มดูบุรุษเยาว์วัยในอ้อมกอดก็เห็นสีหน้าขาวผ่อง จึงยิ้มอย่างอบอุ่นผ่อนคลายแรงกอดรัดเล็กน้อย “เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมเสี่ยวไป๋ไม่รีบบอก สีหน้าเจ้าไม่ดีเลย เหมือนเป็ดที่เกือบถูกบีบตาย น่าเวทนาจริง”
ว่าแล้วเขาก็ตบอกนางอย่างอบอุ่น แม้จะเบาๆ แต่ความรู้สึกนั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก
“…แค่ก แค่ก แค่ก…” พริบตานั้นสีหน้าชิวเยี่ยไป๋ยิ่งขาวซีด รีบรับมือเขาไว้ “พอแล้ว พอแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
ข้าเหมือนเป็ดถูกบีบ คนที่บีบก็คือเจ้านี่แหละ!
นางไม่รู้จะทำอย่างไร เห็นใบหน้างดงามของไป๋หลี่ชูมีความสงสารเวทนาจริง ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกจิตใจสับสน
นาทีนี้ชิวเยี่ยไป๋พลันนึกถึงสีหน้าของเหมยซูเมื่อเช้า และจึงเพิ่งเข้าใจสีหน้าของเหมยซูขณะพูดจากับนาง นั่นเป็นท่าทางที่อยากจะขึ้นมาบีบคออีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดแต่ไม่กล้า
หรือว่ากรรมตามสนองนาง!
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ห่วงใย” ชิวเยี่ยไป๋อิงกับอก ปล่อยให้ไป๋หลี่ชูอุ้มไว้เหมือนสัตว์เลี้ยง นางไม่มีกะจิตกะใจจะคำนึงว่าเสื้อผ้าของตนเปียกไปด้วยหรือไม่ ถึงดิ้นรนไปเขาก็ไม่ยอมปล่อย เผลอๆ อาจทำอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวกว่านี้ก็เป็นได้
นางจึงเปลี่ยนเรื่องเสียเลย “ไม่ทราบว่าทำไมฝ่าบาทอยู่ที่ร้านอีได้”
“เจ้าคงอยากถามว่าทำไมข้าจึงจมอยู่ในก้นสระสุรากระมัง” ไป๋หลี่ชูเกยคางบนไหล่นางอย่างเกียจคร้าน
ชิวเยี่ยไป๋ “ไม่ผิด”
นางพบว่าฝ่าบาทคนนี้บางครั้งน่าชังยิ่ง ดังนั้นจึงตรงไปตรงมาเสียเลย
“ร้านอีเป็นกิจการของข้า” ไป๋หลี่ชูตอบเนือยๆ
ชิวเยี่ยไป๋งงงัน “เป็นกิจการในพระนามของฝ่าบาทหรือ”
คำตอบนี้เหนือความคาดหมายของนาง แม้นางจะเคยสงสัยว่าการต้อนรับอาคันตุกะสูงศักดิ์ของทางร้านทำไมจึงต้องเย่อหยิ่งเช่นนี้ แต่ก็คิดว่าคงเพราะเจ้าของร้านอีเป็นคนถือตัว นางไม่เคยนึกไปถึงไป๋หลี่ชูเลย
ไป๋หลี่ชูใช้มือหนึ่งโอบเอวนางไว้ อีกมือลูบผมนาง “อืม อีไป๋เป็นคนเสาะหาพ่อครัวฝีมือดีที่สุดทั่วอาณาจักรเพื่อจัดรายการอาหารให้ข้า เพียงแต่ถ้าพวกเขาเข้าวังกันหมด ข่าวคราวข้างนอกก็จะน้อยลง บางทีมีอาหารแปลกใหม่อาจไม่รู้ ข้าจึงใช้วิธีให้พวกเขาผลัดเวรกันประจำตำหนักกวงหมิง”
ไป๋หลี่ชูไม่หลีกเลี่ยงแต่ก็บอกไม่หมด ชิวเยี่ยไป๋ยังคงเข้าใจดี ร้านอีแห่งนี้นอกจากเป็นที่ค้นคว้าอาหารแปลกใหม่ให้ไป๋หลี่ชูแล้ว น่าจะยังมีคุณประโยชน์อีกประการหนึ่งคือการรวบรวมข่าวสารเช่นเดียวกับหอไผ่เขียวของนาง
แต่ฝ่าบาทองค์นี้กินเก่งจริงๆ!
มิน่าเล่าพวกพ่อครัวจึงไม่เคยให้รายการอาหารประจำเลย ที่แท้ก็เพราะต้องเข้าไปรับใช้ในวังเสมอ ขณะเดียวกันก็เพื่อความปลอดภัย ค่งเฮ่อเจียนย่อมต้องป้องกันมิให้ใครได้เบาะแสจากรายการอาหารประจำ และต้องคอยระวังพวกคนที่มีเจตนาพยายามใช้สอยพวกพ่อครัว
ชิวเยี่ยไป๋นึกถึงเจ้าของร้านที่สนิทกับตน ภายหลังเห็นตนทำกับข้าวยังเคยคิดจะชวนตนเข้าวงการด้วยซ้ำ แต่ต่อมาก็เลิกล้มความคิดนี้ คาดว่าคงนึกออกว่านางมีฐานะไม่ธรรมดา อีกอย่างคงเห็นว่านางเป็นคนชอบอิสระ คงไม่ยอมให้ใครคอยบงการทุกวี่วัน
“ส่วนที่ข้าจมอยู่ก้นสระสุรา ย่อมเพราะสระสุรานี้คือสถานที่สำหรับฝึกยุทธ์และขจัดพิษของข้า” คำพูดของไป๋หลี่ชูทำเอาชิวเยี่ยไป๋ชักไม่แน่ใจ
นางลืมตาโต ชี้ไปที่สระสุราดอกเหมย “ฝ่าบาทหมายความว่า…ท่านฝึกยุทธ์และขจัดพิษในสระ”
“ถูกต้อง สระสุราเช่นนี้ในตำหนักกวงหมิงก็มี ชื่อเยี่ยนชอบของเช่นนี้และข้าก็ว่าอุ่นดี บังเอิญในพื้นดินมีตาน้ำ แม้จะไม่เป็นธารน้ำร้อนและเย็นเหมือนที่ภูเขาชิวซาน แต่ข้าก็ไม่ต้องออกแรงระดมคนไปชักน้ำ จึงสร้างสระสุราที่นี่เสียเลย” ไป๋หลี่ชูพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
ชื่อเยี่ยนคือชื่อของงูกู่ในตัวไป๋หลี่ชู
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋สีหน้าประหลาด จากขาวซีดเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทแช่ในสุราขจัดพิษ…ทำไมจึงยังสวมเสื้อผ้า”
ไป๋หลี่ชูเลิกคิ้วแลดูนาง “ทำไม ข้าไม่ควรสวมเสื้อผ้าหรือ”
ชิวเยี่ยไป๋นึกถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว แม้ที่นี่จะห้ามคนเข้าออก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเหลาสุรา เกิดมีลูกค้าทะเล่อทะล่าเข้ามา อีกอย่างรอบข้างก็มีชาวบ้าน ย่อมมิใช่สถานที่ที่จะแช่ตัวโดยไม่สวมใส่อะไรเลย
“ที่แท้เสี่ยวไป๋อยากเห็นข้าเปลือยร่างเย้ยฟ้าท้าดินนี่เอง มิใช่ไม่ได้ เสี่ยวไป๋เปลือยร่างเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน” ไป๋หลี่ชูหัวร่ออย่างเอาใจ
ชิวเยี่ยไป๋ไม่นึกชอบใจแม้แต่น้อย รีบกัดฟันยิ้มให้ “ไม่ ข้า…ข้าน้อยไม่สนใจกับร่างเปลือยของฝ่าบาท”