ชิวเยี่ยไป๋ปล่อยมือจากปกเสื้อเขา เหลือกตาใส่อย่างโกรธเกรี้ยว “ไม่ต้อง เรายังคงต่างคนต่างเปลี่ยนดีกว่า”
ไอ้สารเลวนี่เพิ่งจะรู้ตัวหรือว่าทำให้นางทุลักทุเลไปหมดทั้งร่าง อย่าว่าแต่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกันเลย นางรู้สึกตลอดเวลาว่าไอ้หมอนี่ไม่มีเจตนาที่ดีเลยสักนิด
ไป๋หลี่ชูพยักหน้าหงึกหงัก แต่ไม่พูดอะไรอีก เพียงอุ้มนางเข้าไปในห้องเก๋งแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง
อีเซิงนำองครักษ์เฮ่อเว่ยสองนายมาคารวะต่อไป๋หลี่ชู “ฝ่าบาท สำรับเตรียมไว้แล้ว เสื้อผ้ากับน้ำร้อนก็เตรียมแล้วขอรับ”
ตอนเขาเห็นไป๋หลี่ชูอุ้มชิวเยี่ยไป๋เข้ามา ใบหน้าฉายแววพิกลซับซ้อนแวบหนึ่ง ชิวเยี่ยไป๋กลับสีหน้าเรียบเฉย ราวกับพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
สภาพเช่นนี้ถึงรู้จักก็แกล้งไม่รู้จักจะดีกว่า
ไป๋หลี่ชูพยักหน้า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
อีเซิงผงกศีรษะนำพวกเฮ่อเว่ยออกไปจากหอ
ไป๋หลี่ชูชี้ไปที่ห้องหนึ่ง มือหนึ่งตบไหล่นางเบาๆ “ในนั้นมีเสื้อผ้าของข้าอยู่หลายชุด สวมไปพลางๆ ก่อน ถ้าไม่พอดีตัวค่อยให้อีเซิงสั่งคนไปซื้อที่เหมาะกับเจ้าสักชุด”
ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า ไม่มีกะจิตกะใจจะพูด ขณะเตรียมจะหันไปเข้าห้อง กลับเห็นมือของไป๋หลี่ชูจู่ๆ ก็ไถลลงแตะที่อกนาง ขยี้แล้วบีบเบาๆ จากนั้นก็ตบอกนางอย่างไม่เกรงใจสองครั้ง เลิกคิ้วกล่าว “เห็นเอวกับกระดูกหลังของเสี่ยวไป๋เล็กมาก นึกไม่ถึงว่ากล้ามเนื้อตรงนี้จะเยอะ ยังแข็งแรงกว่าของข้าเสียอีก มิน่าเล่าตอนแรกที่สู้กับข้าเรี่ยวแรงถึงได้มากนัก”
คำพังเพยว่าไว้ ไหล่กว้างเอวคอดย่อมมีพลัง คิดดูแล้วเสี่ยวไป๋น่าจะฝึกมาไม่น้อย
“ทว่า…คราวหน้าจำไว้ว่าต้องฝึกแขนขาให้แข็งแรงหน่อย การใช้กำลังจึงจะสมดุล”
ไป๋หลี่ชูคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มแนะนำที่ข้างหูชิวเยี่ยไป๋ที่ยืนตัวแข็งเหมือนหิน แล้วก็เดินจากไปหันกายเข้าห้องของเขาเอง
“ไม่ต้องรอข้า ถ้าเสื้อผ้าพอดีตัวก็ผลัดเลย แล้วกินมื้อเย็นด้วยกัน”
ชิวเยี่ยไป๋เหลือบมอง ‘กล้ามเนื้ออกเยอะ’ ของตนเอง อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา จากนั้นคลึงตรงที่ถูกเขาตบจนเจ็บด้วยใบหน้าขาวซีด ลากเท้าหนักอึ้งก้าวช้าๆ เข้าห้องไป
ตีแรงขนาดนั้น ไข่ดาวของตนคงไม่ไส้แตกกระมัง
ชาติก่อนอกของนางคงมีความแค้นกับไป๋หลี่ชูแน่!
ไม่ ตัวของนางทั้งบนทั้งล่างเคยมีความแค้นกับไอ้จิตวิปริตนั่นถึงจะถูก!
จนกระทั่งชิวเยี่ยไป๋เปลี่ยนชุดสั้นเสร็จ ออกมากินสำรับของเหลาอีอย่างไม่รู้รสชาติจนอิ่ม ไป๋หลี่ชูจึงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ปรากฏตัวพร้อมกลิ่นหอมฟุ้ง
อีเซิงเตรียมสำรับใหม่แต่เนิ่นๆ แล้ว กับข้าวแต่ละอย่างไม่มาก แต่มีถึงสิบกว่าอย่าง
ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจที่กับข้าวพวกนี้นอกจากประดิดประดอยจนน่าดูชมแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ได้เห็นอีกครั้งว่าไป๋หลี่ชูเป็นนักกินตัวฉกาจ ท่าทางการกินอาหารเปี่ยมด้วยบุคลิกของราชนิกุล แต่ตะกละตะกรามเหมือนนักกินจนน่าตกใจ
หลังอาหารค่ำ เดิมทีนางคิดจะอำลาทันที จะไปให้ไกลจากไอ้วิตถารเพื่อความปลอดภัย
แต่ขายาวของไป๋หลี่ชูขวางไว้ก่อน คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มแลดูนาง “ฟ้ามืดลมแรง คิดว่าวันนี้เสี่ยวไป๋คงเหนื่อยแล้ว ข้าจะสบายใจได้อย่างไรหากปล่อยให้ผู้เป็นหัวใจเดินฝ่าราตรีกาล”
คำว่า ‘ผู้เป็นหัวใจ’ กับแววตาเขียวเรืองของไป๋หลี่ชูทำเอาชิวเยี่ยไป๋ขนลุกในพริบตา รู้สึกว่าทุกอณุในร่างพากันส่งสัญญาณเตือนอันตราย นางมองไป๋หลี่ชูอย่างระแวดระวัง กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ฝ่าบาท ข้ามักเดินทางยามราตรีอยู่แล้ว”
ไป๋หลี่ชูตบหลังมือนางเหมือนโอ๋เด็กดื้อ “เสี่ยวไป๋ อย่าเอาแต่ใจ ข้างนอกอันตรายมาก”
ชิวเยี่ยไป๋สูดหายใจลึก อยู่กับเจ้าสิถึงจะอันตราย!
นางยิ้มเล็กน้อยแล้วเสนอว่า “ฝ่าบาทให้ใต้เท้าอีไป๋หรือเฮ่อเว่ยคนไหนไปส่งข้าน้อยก็ได้”
ไป๋หลี่ชูสั่นศีรษะ ถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “พวกเฮ่อเว่ยของข้าบังเอิญวันนี้เป็นหวัดจึงถูกลมไม่ได้ ย่อมไม่อาจส่งเสี่ยวไป๋กลับซือหลี่เจี้ยน”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วชี้ไปเฮ่อเว่ยที่ยืนเฝ้าประตู “ฝ่าบาท วันหลังโปรดหาข้ออ้างที่ดีหน่อย ท่านดูสิ พวกเขาเหมือนคนเป็นไข้หวัดหรือ”
จะหาข้ออ้างรั้งนางไว้ทั้งที คิดให้มากอีกหน่อยได้ไหม!
แต่ตรงที่ชิวเยี่ยไป๋ชี้ไปก็มีเสียงจามทันที “ฮัดเช้ย แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก…”
นางเห็นพวกเฮ่อเว่ยตัวอ่อนยวบในพริบตา โอนไปเอนมา พลางหอบหายใจ นิ้วของนางแข็งค้างแล้วตกลง ในใจลอบด่าเป็นร้อยครั้งว่า เป็นพวกโจรถ่อยสมคบคิด ขอให้โดนฟ้าผ่า มีลูกขอให้มันไม่มีรูก้น!
ไป๋หลี่ชูแลดูนาง กล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “ข้าเปลืองความคิดไม่น้อยแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ช้อนตามองดูเขา พลันสูดหายใจเบาๆ กล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เช่นนั้นข้าน้อยก็น้อมรับเจตนาดีของฝ่าบาทแล้ว จะพักผ่อนที่หอนี้ ฝ่าบาทราชกิจมากมาย เรื่องเล็กน้อยอย่างการเลือกห้องพักย่อมไม่ต้องรบกวนฝ่าบาทแล้ว”
ในเมื่อไปไม่ได้ ก็ลงมือก่อนจะเหนือกว่า
พูดจบ นางก็ลุกเดินไปข้างนอก แต่ยังไม่ถึงห้าก้าวก็ถูกคนคว้าคอเสื้อไว้ คนที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ ลากนางกลับไปเหมือนแมงมุมขยุ้มเหยื่อ ขณะเดียวกันก็บอกฝันร้ายที่ทำเอานางคืนนี้ต้องนอนไม่หลับ
“ย่อมไม่ต้องมัวหาห้องให้ลำบาก เจ้าร่วมเรียงเคียงหมอนกับข้าก็แล้วกัน”
พริบตานั้นชิวเยี่ยไป๋เบิกตากว้าง แต่ยังคงรีบกลืนคำว่า ‘บุรุษสตรีมิสัมผัสแม้การให้หรือการรับ’ ลงไปอย่างแข็งขืน จากนั้นรีบอ้าแขนกอดเสากลมไร้ทรวดทรงที่อยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวไป๋ ปล่อยมือ” ไป๋หลี่ชูพบว่าลากไม่ไป จึงพบว่าคนที่คนคว้าไว้ทำอะไรอยู่ พลันหัวร่อมิได้ร่ำไห้มิออก
เจ้าเสี่ยวไป๋นี่ช่างเหมือนเสือดาวตัวน้อยเสียจริง
“…” ชิวเยี่ยไป๋เองก็นึกไม่ถึงว่าตนเองจะทำเรื่องเสียบุคลิกโดยสัญชาตญาณ กระทำเรื่องโง่ๆ ที่ต้องถูกคนเยาะหยันไปตลอดชีวิต จึงไม่พูดเสียเลย เอาแต่กอดเสาไว้แน่น
“เสี่ยวไป๋ ปล่อยมือ” เสียงไป๋หลี่ชูที่อยู่ด้านหลังเพิ่มความรำคาญขึ้นส่วนหนึ่ง
คำตอบของชิวเยี่ยไป๋คือขาทั้งสองข้าง หนีบเสาไว้เสียเลย ไหนๆ ก็โง่แล้ว โง่ให้ถึงที่สุดเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้างตนก็ไม่มีใครเห็น
กาลก่อนมีเหว่ยเซิง[1]กอดเสาตายเพื่อรักษาสัญญา วันนี้นางตัดสินใจจะสืบทอดปณิธานของท่านเหว่ยเซิง
ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะจนใจกับพฤติกรรมที่น่าขันของนาง จึงถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง
ครู่เดียวนางก็รู้สึกว่าแรงดึงที่คอเสื้อคลายลง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะละทิ้งความตั้งใจแล้ว นางยังคงอยากเหลียวมองด้วยความสงสัย แต่รู้สึกว่าที่เอวถูกคนจิ้มใส่สองครา
จากนั้น…
บั้นปลายของเหว่ยเซิงคือจมน้ำตาย แต่บั้นปลายของนางคือถูกสกัดจุด ถูกไป๋หลี่ชูลากหลุดจากเสาอย่างนุ่มนวลราวแป้งทอดแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็หนีบใส่รักแร้ลากไปอย่างไม่นุ่มนวลนัก
ชิวเยี่ยไป๋ถูกเขย่าจนตาลาย มองดูเพดานห้องที่สลักลวดลายอย่างประณีตหรูหรา นึกถอดใจว่าที่คือผลของความโง่ที่ลงเอยอย่างย่ำแย่
อย่างรวดเร็ว นางถูกไป๋หลี่ชูอุ้มไปที่ริมเตียงไม้หวงฮวาหลีอันประณีต ‘ฝ่าบาทองค์หญิง’ ดึงรองเท้านางออก แล้วถึงกับลดตัวลงถอดถุงเท้าให้นาง จากนั้นก็เสื้อชั้นนอก
——
[1] ตำนานจีนโบราณเล่าว่า ชายคนหนึ่งชื่อเหว่ยเซิง นัดกับหญิงคนรักที่สะพาน รออยู่นานฝ่ายหญิงก็ยังไม่มา เกิดน้ำหลากท่วมสะพาน เหล่ยเซิงผู้ซื่อสัตย์ต่อความรักยังคงกอดคอสะพานจนจมน้ำตาย