ไป๋หลี่ชูแลดูชิวเยี่ยไป๋ที่เกร็งไปทั้งตัว แววตาประหลาดงดงามฉายประกายเย็นเยียบกลอกไปมา คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ไม่ต้องกลัว ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่โง่ ข้ายังมีความอดทนพอที่จะรอเจ้าเปลื้องผ้าเพื่อข้าเอง”
เขายื่นมือตบบนตัวนางสองครา ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกเบาไปทั้งตัว แต่นางมิได้กระโดดขึ้นวิ่งในทันที หรือแม้แต่จะหดตัวที่มุมผนัง เพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ฝ่าบาท นอนแต่หัวค่ำจะได้ตื่นแต่เช้า”
จากนั้นนางก็พลิกตัวหันหน้าเข้าผนัง
ไป๋หลี่ชูแปลกใจที่เห็นนางรู้ความ แต่เขาก็มินำพาว่านางจะเล่นลวดลายอะไร จึงถอดเสื้อชั้นนอก เตะรองเท้าออก เป่าตะเกียงดับแล้วนอนลงข้างชิวเยี่ยไป๋
ไป๋หลี่ชูนอนเอียงหน้าเงียบๆ สายตาตกอยู่ที่เงาหลังซึ่งค่อนข้างเกร็งของคนข้างกาย ไม่ต้องอาศัยแสงจากนอกหน้าต่าง เขาก็มองเห็นคนข้างกายอย่างชัดเจน
เงาร่างของชิวเยี่ยไป๋ที่สวมใส่เสื้อชั้นกลางขาวดังหิมะในความมืด ดูแล้วยิ่งอ้อนแอ้นบอบบาง
รัตติกาลดึกสงัด ไอร้อนยามกลางวันหายไปสิ้นเหลือแต่ความเงียบสงบ ดังนั้นขณะนอนนิ่งๆ นี้ เขาจึงได้กลิ่นหอมไออุ่นจางๆ ของคนข้างกาย และไอประหลาดที่เกิดจากการไหลเวียนของโลหิตซึมออกจากผิวกายกระจายไปทั่วในอากาศ
เขาหลับตา สูดหายใจลึก ดูเหมือนอวัยวะภายในที่เย็นเยียบจะค่อยๆ อุ่นขึ้น เขาโค้งริมฝีปากอย่างพึงพอใจ พลิกตัวอย่างไม่เกรงใจ โอบกอดคนข้างกายที่หันหลังให้ไว้ในอ้อมอก และมินำพาว่าร่างกายของชิวเยี่ยไป๋จะยิ่งแข็งเกร็งเพราะการนี้ เขาก้มหน้าดอมดมบนตัวนาง จากนั้นซุกหน้ากับซอกคอนาง
อืม ความรู้สึกนี้อบอุ่นเหมือนที่คิดไว้จริงๆ
ชิวเยี่ยไป๋ถูกกอดไว้ สยิวกายอย่างอดมิได้ ทั้งตัวแข็งเหมือนท่อนไม้ นางสูดหายใจช้าๆ รู้สึกเหมือนตนเองตกลงในหล่มหิมะ แต่ยังดีที่ขณะนี้เป็นฤดูร้อนจึงถือว่าเย็นสบาย
นางข่มใจกับความรู้สึกที่อยากจะถีบคนที่กอดอยู่ข้างหลังให้ตกลงไป กัดฟันกรอดแล้วหลับตาลง พร่ำเตือนสติตนเอง
อดทนไว้เถิด คำว่าอดทนเหมือนถูกมีดปักกลางหัวใจ สักวันหนึ่งข้าจะเอาคืนให้จงได้
ไป๋หลี่ชูรู้สึกสบายไปทั้งตัว สัมผัสที่อบอุ่นนุ่มนิ่มสบายกว่าที่คิดไว้
ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว พอสบายตัวจิตใจก็ย่อมดีขึ้นเป็นธรรมดา จึงเอ่ยปากชี้แนะต่อ
ชิวเยี่ยไป๋
“เป้าหมายของโจรที่ปล้นในคดีไหวหนานมิได้อยู่ที่เงินของตระกูลเหมย”
นางนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ไป๋หลี่ชูจะชี้เบาะแสให้นาง หลังตะลึงแล้วจึงกล่าวเนือยๆ ว่า “อืม ระหว่างสนทนากัน เหมยซูก็เคยบอกว่าเงินพวกนั้นเป็นเพียงเป้าล่อเพื่อเบนความสนใจของผู้คนเท่านั้น”
นึกดูแล้วไม่ว่าจะเป็นคนของสำนักราชทัณฑ์หรือซือหลี่เจียน จะมากหรือน้อยล้วนถูกชักนำให้หลงทาง การสืบคดีจึงมุ่งไปยังผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับเงินเป็นสำคัญ
ไป๋หลี่ชูอึ้งไปเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เสี่ยวไป๋ของข้าเป็นคนฉลาดจริง”
ใบหน้าชิวเยี่ยไป๋ฉายแววหยามเหยียด กล่าวประชดประชันว่า “ฝ่าบาทยกย่องเกินไปแล้ว”
หากนางฉลาดจริง ไฉนจะพลาดท่าจนกลายเป็นเนื้อในปากเสือเช่นทุกวันนี้เล่า
มุมปากไป๋หลี่ชูกระตุกแต่มิได้กล่าววาจา เพียงกอดรัดแน่นกว่าเดิม
ทั้งสองไม่มีใครพูดอีก ราตรีสงัดคล้ายกอดกันจนหลับใหล เพียงแต่ท่าทางออกจะแข็งขืนไปบ้าง
ชิวเยี่ยไป๋แลดูแสงสะท้อนหลังคาผลึกแก้วบนผนังสีขาวเบื้องหน้าเงียบๆ ลอบถอนใจ ที่เรียกกันว่าร่วมเตียงเดียวกันแต่ฝันต่าง คงเป็นเช่นนี้กระมัง
กริ๊ง
เสียงกระพรวนรถม้าดังบนถนนแต่เช้าตรู่
เช้าตรู่หน้าร้อน บนถนนมีหาบเร่ขายอาหารเช้าอยู่ไม่น้อย แต่ผู้คนยังคงไม่มากนัก ดังนั้นรถม้าจึงเคลื่อนไปได้อย่างราบรื่น ไม่นานนักก็ถึงประตูด้านข้างของที่ทำการซือหลี่เจียน
ขันทีน้อยผู้เฝ้าประตู แลดูป้ายเอวของสารถีหน้าเด็กที่ส่งให้ ก็รีบยกเครื่องกีดขวางออกอย่างนอบน้อมปล่อยให้รถม้าเข้าไป
ขณะรถวิ่งผ่าน ก็มีเศษเงินโยนใส่ก้อนหนึ่ง ทำเอาขันทีน้อยยิ้มจนแก้มปริ
แม้กองคั่นเฟิงจะไม่มีความสำคัญแล้ว แต่ที่ทำการแห่งนี้มีประตูข้างถึงสามแห่ง ยามปกติไม่ค่อยมีคนใหญ่คนโตเข้าออก การตกรางวัลจึงมีไม่มาก เป็นหน้าที่ที่ไม่มีทางได้เงินได้ทองเลย แต่หลังจากมีหัวหน้ากองคนใหม่เข้ามา ก็มักมีคนเข้าออกบ่อยครั้ง และยังมีคนตกรางวัลให้ด้วย
เขาไม่เคยแยแสว่ากองคั่นเฟิงจะมีความสำคัญหรือไม่ แต่กับคนใหญ่คนโตไม่กี่คนที่ชอบตกรางวัลย่อมต้องอำนวยความสะดวกให้เป็นพิเศษ
ครู่เดียวรถม้าก็ถึงที่ทำการกองคั่นเฟิงอันรกร้าง หน้าประตูไม่มีใครเลย ประตูใหญ่ปิดสนิทเหมือนบ้านร้าง
ชิวเยี่ยไป๋ให้เสี่ยวชีไปเคาะประตู ครู่หนึ่งประตูก็แง้มออก ศีรษะที่โผล่ออกมาคือเสี่ยวเหยียนจื่อ พอเห็นชิวเยี่ยไป๋ก็ดีอกดีใจ รีบเปิดประตูรับชิวเยี่ยไป๋และเสี่ยวชีเข้าไป และสั่งให้ทหารคนหนึ่งจัดการเอารถม้าไปจอดในที่พักรถ
“ใต้เท้า ท่านไปครั้งนี้หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย พวกเราวิตกแทบตาย ยังคิดว่า…เอ้อ..ใต้เท้าปลอดภัยก็ดีแล้ว” เสี่ยวเหยียนจื่อเห็นชิวเยี่ยไป๋สบายดีก็โล่งใจ
“ข้าก็แค่ได้อะไรบางอย่างเมื่อคืนวานเลยดีใจ ตกค่ำจึงไปดื่มกับเสี่ยวชีเล็กน้อยแล้วนอนในร้านเหล้า พวกเจ้าคงมิใช่คิดว่าตระกูลเหมยลงมือต่อข้ากระมัง”
เสี่ยวเหยียนจื่อเกาศีรษะ “เอ้อ เป็นใต้เท้าเจี่ยงที่กังวล”
“ใต้เท้า” ม่านประตูเลิกขึ้น ที่เข้ามาไม่เพียงมีเป๋าเป่าที่แปลงโฉมเป็นเจี่ยงเฟยโจวเท่านั้น ยังมีโจวอวี่ด้วย พวกเขาเห็นชิวเยี่ยไป๋ไม่เป็นอะไรก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก
ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ปกติ จึงเลิกคิ้วกล่าวว่า “ทำไม ข้าไม่อยู่แค่วันเดียว เกิดเรื่องอะไรหรือ”
เสี่ยวเหยียนจื่อรู้งานรีบรินน้ำชาให้ทุกคน
โจวอวี่กับเป๋าเป่าสบตากันแล้วนั่งลงต่ำกว่าชิวเยี่ยไป๋ โจวอวี่สีหน้าหนักอึ้ง “เย็นวานนี้ ข้าน้อยเชื้อเชิญสหายเก่าในอู่เฉิงปิงหม่าซือดื่มสุรา ได้ยินข่าวมาว่า เผิงเฉียงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ผู้รับผิดชอบการสืบคดีปล้นที่ไหวหนาน ขณะนำข้อมูลคดีกลับราชธานี เกิดอุบัติเหตุเรือชนกัน เผิงเฉียงกับคนของสำนักราชทัณฑ์ตกน้ำ บัดนี้เอาศพขึ้นมาได้แล้ว แต่เอกสารราชการบ้างถูกน้ำซัดไปบ้างก็เปียกน้ำ ดูไม่รู้เรื่องแล้ว”
ชิวเยี่ยไป๋ชะงักแล้วเลิกคิ้วกล่าวว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เผิงเฉียงของกองราชทัณฑ์ผู้นี้มีชื่อเสียงด้านตรงไปตรงมาและไม่เคยกินสินบาดคาดสินบนเลยใช่ไหม”
ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าราชการซื่อสัตย์คนหนึ่งหอบเอกสารจำนวนมากต้องมาจมน้ำตายในเวลานี้
โจวอวี่ผงกศีรษะกล่าวว่า “ถูกต้องขอรับ และเรือที่เผิงเฉียงโดยสารก็เป็นเรือของตระกูลเหมย”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขากับเจี่ยงเฟยโจววิตกกังวลว่าหลังนางไปสืบคดีที่ตระกูลเหมยแล้วหายไปทั้งคืน แม้พวกเขาจะคิดว่าตระกูลเหมยคงไม่กล้าฆ่าคนปิดปากในถิ่นของตนเอง แต่จะอย่างไรก็วางใจไม่ลง