เหมยซูยืนเอามือไพล่หลังเงียบๆ แลดูเรือของซือหลี่เจียนที่ไกลออกไปทุกทีแล้วหายลับไปที่เส้นขอบฟ้า จึงหันกายกล่าวเรียบๆ ว่า “ค้นต่อ”
ชายชุดเขียวเข้มทั้งโขยงประสานมือคารวะอย่างนบนอบ “ขอรับ”
ชายชุดเขียวเข้มที่อยู่ท้ายสุดเหลือบมองผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินลายดอกที่ลอยบนผิวน้ำไม่ไกลนัก ราวกับผีสางดลใจจึงรี่เข้าไปดูโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พรรคพวกของเขาที่เดินนำไปก่อนเห็นเขายังไม่มาสมทบจึงส่งเสียงเร่ง และเห็นผ้าผืนนั้นเช่นกัน จึงหัวร่ออย่างรำคาญใจ “ไอ้นี่ ผ้าโพกหัวของหญิงชาวเรือมีอะไรน่าดูวะ คิดถึงเหล่าแม่นางน้อยใช่ไหมล่ะ ไว้ค่ำนี้ค่อยไปหอชุนเซียงก็แล้วกัน!”
เรื่องนี้หลังกลับถึงบ้านตระกูลเหมยและกินมื้อค่ำ ก็มีคนนำมาเล่ากันเป็นเรื่องขำขัน คาดไม่ถึงว่าครู่เดียวเจ้าคนที่เห็นผ้าโพกศีรษะก็ถูกคุณชายใหญ่เรียกตัวไปที่ห้องหนังสือ
เหมยซูนั่งฟังนักบู๊ผู้เกร็งไปทั้งตัวเล่าจนจบเงียบๆ แล้วสั่งให้ออกไป จากนั้นก็หันไปสั่งรองพ่อบ้านว่า “รีบเตรียมเรือ”
รองพ่อบ้านงงงัน “คุณชายใหญ่ ท่านสงสัยว่าคุณหนูใหญ่ถูกคนแซ่ชิวซ่อนไว้หรือ แต่วันนี้พวกเราค้นจนทั่วเรือแล้วนี่นา”
ไม่พบอะไรเลยบนเรือของคนแซ่ชิว และท่าทางของชิวเยี่ยไป๋กับพวกก็ไร้พิรุธ
ดวงตาเหมยซูวาววับ “ไม่ใช่สงสัย แต่เซียงจื่ออยู่บนเรือมันแน่!”
สายสืบแจ้งว่าเซียงจื่อปลอมตัวเป็นหญิงชาวเรือและไปที่ท่าเรือ ยามนั้นเขาก็นึกสงสัยแล้วว่าเซียงจื่อคงรู้วันที่ชิวเยี่ยไป๋จะจากไป จึงได้วางแผนเช่นนี้ แต่ค้นบนเรือแล้วไม่พบ เขายังคงไม่สิ้นสงสัย เพียงแต่ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะยับยั้งมิให้ชิวเยี่ยไป๋ลงใต้
“ตอนถูกคนจับได้ เซียงจื่อปลอมตัวอย่างไร เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ”
รองพ่อบ้านฟังแล้วจึงฉุกคิด ใช่แล้ว คุณหนูของตนถูกสายสืบพบว่าปลอมตัวเป็นหญิงชาวเรือและเข้าไปที่ท่าเรือ!
เดิมทีเขาเกลียดชิวเยี่ยไป๋อยู่แล้ว ยามนี้จึงโกรธจัด “ไอ้ชิวเยี่ยไป๋ ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ถึงกับกล้าลักพาตัวคุณหนู คุณชายใหญ่ท่านต้องทำให้ไอ้โจรปล้นสวาทหลุดจากตำแหน่งให้ได้!”
เหมยซูกล่าวเรียบๆ ว่า “เกรงว่าเขาคงไม่ยอมพาเซียงจื่อไปด้วย”
“คุณชายใหญ่” รองพ่อบ้านงงงัน เขานึกไม่ออกว่าทำไมคุณชายของตนจึงพูดเข้าข้างคนนอกเช่นนี้
แต่เหมยซูเพียงโบกมือแล้วลุกขึ้นสั่งว่า “รีบเตรียมตัวไปไหวหนาน ยังมี…”
เขาหยุดลงแล้วเสริมว่า “เรื่องข้าจะไปไหวหนานช่วยแจ้งในวังด้วย บอกว่าข้ามีธุระก็พอ”
รองพ่อบ้านผงกศีรษะรับคำ “ขอรับ”
แล้วก็ถอยออกไป
เหมยซูมองดูจันทร์กระจ่างกลางฟ้า พลันนึกถึงคนผู้นั้นเมื่อยามเช้า คนผู้นั้นราศีกระจ่างดุจแสงจันทร์ แต่ฝีปากกลับเราะรายจนสุดจะทน
แต่ไม่รู้ว่าคราวนี้ถ้าพบกันที่ไหวหนาน ชิวเยี่ยไป๋จะมีสีหน้าอย่างไร
เขาหัวร่อเบาๆ “หึ…”
…
จะกล่าวถึงชิวเยี่ยไป๋หลังสั่งให้ชักใบเรือแล้ว ก็ยืนอยู่ที่หัวเรือจนกระทั่งมองไม่เห็นท่าเรือ จึงกลับเข้าห้องท้องเรือท่ามกลางสายตาประหลาดของโจวอวี่
ก่อนเข้าประตูท้องเรือ นางยังมองโจวอวี่แวบหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ “ถ้าอยากตามมาก็เข้าไปด้วยกัน”
โจวอวี่ตัวแข็ง แต่รีบเดินตามต้อยๆ “ขอบพระคุณใต้เท้า”
จนกระทั่งเข้าไปในห้อง เขาจึงลงกลอนประตูตามที่ชิวเยี่ยไป๋สั่ง แต่พอหันกลับไปก็ไม่เห็นใต้เท้าเชียนจ่ง ทิ้งไว้แต่หน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้าลมเย็นพัดกระโชกเข้ามา
โจวอวี่ตกใจกระโดดเหยง รีบถลาไปที่หน้าต่าง เกรงว่าใต้เท้าของตนตกน้ำจะทำอย่างไรดี!
แต่ขณะเขายังถลาไม่ถึงหน้าต่าง ก็เห็นเงาร่างสีเขียวสายหนึ่งม้วนตัวมาทางหน้าต่างราวกับสายลม ในอ้อมอกยังมีร่างอ้อนแอ้นสีน้ำเงินกำลังกรีดร้องอยู่
เขาพลันหยุดชะงักฝีเท้า หลีกเลี่ยงไม่ให้ชนเข้ากับสองร่างนั้นโดยไม่ระวัง
พอเข้าไปในห้องชิวเยี่ยไป๋ก็วางเหมยเซียงจื่อลง แล้วถอยไปสองก้าวสะบัดชายเสื้อ กล่าวเนือยๆ กับดรุณีที่เอาแต่กรีดร้องว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว เดี๋ยวพี่ชายเจ้าจะได้ยินเข้าแล้วอย่าโทษว่าข้าโยนเจ้าออกไปอีกนะ”
เซียงจื่อฟังแล้วก็หยุดร้องทันที เมื่อครู่นางถูกชิวเยี่ยไป๋ยัดไว้ในเรือชูชีพลำน้อยซึ่งอยู่นอกท้องเรือ ใต้เท้าคือน้ำลึกของคลองขุด นางกลัวจนไม่กล้ากระดิกตัว ฟุบตัวแข็งอยู่กับเชือกของเรือชูชีพจึงอยู่ได้นานขนาดนี้ แม้แต่ผ้าโพกหัวก็ถูกลมพัดปลิวไป ตัวนางเองก็ถูกลมพัดจนชาไปทั้งตัว รอจนชิวเยี่ยไป๋ปรากฏตัวอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่รู้จักถนอมบุปผาเอาเสียเลย ลากนางหนีบไว้ที่ซอกแขนแล้วก็กระโดดกลับเข้าเรือ
เหมยเซียงจื่อคิดว่าตนเองจะถูกทิ้งในลำน้ำอันเชี่ยวกรากแล้ว กลัวจนหน้าซีด บัดนี้ยังถูกชิวเยี่ยไป๋ดุอีก แทบจะเป็นความคับข้องที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต จึงกลั้นน้ำตาแห่งความคับแค้นเอาไว้ไม่อยู่
คนผู้นี้เหตุใดถึงใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้!
โจวอวี่เห็นคนงามอรชรอ้อนแอ้นที่แม้จะทุลักทุเล สีหน้าหวาดหวั่นคับข้อง สองมือบิดชายกระโปรงและน้ำตาไหลพรากตลอดเวลา แต่ไม่กล้าส่งเสียงร้อง ดูแล้วช่างน่าเวทนาจริงๆ พริบตานั้นพลันบังเกิดความรู้สึกถนอมบุปผาของพวกคนตระกูลสูงศักดิ์ขึ้นมาทันที
เขาไม่กล้าต่อว่าชิวเยี่ยไป๋ จึงได้แต่ยิ้มแก้เก้อ “คุณหนูใหญ่อย่าร้องไห้ ใต้เท้าของเราคำนึงถึงความปลอดภัยของท่านต่างหาก”
นึกไม่ถึงว่าคำปลอบโยนของตนจะทำให้น้ำตาไหลมากขึ้น เขามองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างทำอะไรไม่ถูก กลับพบกับดวงตาเย็นเยียบของชิวเยี่ยไป๋ เขาจำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงท้องแล้วหุบปาก
ใช่แล้ว เขาเกือบลืมไป ก็คนงามคนนี้นี่แหละที่ทำให้พวกเขาตกที่นั่งลำบากในวันนี้
“คุณหนูใหญ่เหมย ถ้าเจ้าร้องพอแล้ว เรามาหารือเรื่องการอยู่การไปของเจ้าดีไหม ถ้ายังร้องไห้ไม่พอ ก็เชิญร้องต่อให้พอค่อยไปเรียกข้า” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างเฉยเมย
เหมยเซียงจื่อมองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่าน…ท่านไล่ข้า”
โจวอวี่ไม่รู้จะทำอย่างไรและไม่กล้าปากมาก ได้แต่แอบเหลือบมองชิวเยี่ยไป๋ กลับเห็นนางเลิกชายผ้าแล้วนั่งลง กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “คุณหนูใหญ่เหมย เจ้าคิดว่าตอนนี้ออกจากท่าเรือแล้วยังมีอะไรมาขู่ข้าได้อีกหรือ ถ้าข้าอยากทำ จะให้คนอุดปากเจ้าส่งตัวกลับไปทันทีก็ได้ ให้เหมยซูรับไว้เงียบๆ ข้าว่าพี่ชายเจ้าคงดีใจนะที่เห็นเจ้ากลับไปในสภาพนั้น โดยมิใช่ไปโพนทะนาทั้งเมืองว่าเจ้ากับข้าหนีไปด้วยกัน”
ชิวเยี่ยไป๋หยุดพูดแลดูเหมยเซียงจื่อ กล่าวเนือยๆ ว่า “ในเมื่อตระกูลเหมยตั้งใจจะถวายตัวเจ้าเข้าวัง ย่อมไม่มีทางเหลียวแลข้าที่เป็นแค่ขุนนางระดับสี่แน่”
เหมยเซียงจื่อซึมเซา สีหน้ายิ่งขาวซีด แม้นางจะเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง แต่เกิดในตระกูลพ่อค้าใหญ่ เป็นดรุณีที่ไม่ประสาต่อโลกภายนอกแม้แต่น้อย เหมยเซียงจื่อรู้ดีว่าการที่นางข่มขู่ชิวเยี่ยไป๋ก่อนหน้านี้ทำให้เขาโกรธจัดจึงได้พูดจาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเช่นนี้