ริมฝีปากนางขยับเล็กน้อย กล่าวอย่างยากเย็นว่า “เซียงจื่อบอกแล้ว ยามนี้จะไม่กลับตระกูลเหมยเด็ดขาด ใต้เท้าจะให้เซียงจื่อทำอะไรโปรดสั่งได้เลย”
ชิวเยี่ยไป๋แลดูนางแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “ดูท่าคุณหนูเซียงจื่อยังรู้ความกว่าที่ข้าคิด ถ้าเช่นนั้นข้อแลกเปลี่ยนเป็นอันตกลง ข้าจะคุ้มครองเจ้าไปไหวหนานอย่างปลอดภัยจนกว่าเราจะกลับราชธานี ส่วนเจ้าต้องจ่ายอะไรบ้าง ไว้ข้าจะบอกทีหลัง”
พูดจบก็ลุกขึ้น สั่งโจวอวี่ว่า “เอาสัมภาระของข้าออกไป ตรงนี้ให้คุณหนูเซียงจื่อพักอาศัย”
โจวอวี่รีบผงกศีรษะ แล้วขนข้าวของของชิวเยี่ยไป๋ออกไป
ขณะเดินออกจากประตู ชิวเยี่ยไป๋หยุดเล็กน้อย แลดูเหมยเซียงจื่อ “อีกอย่าง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่นี่ไม่มีคุณหนูชื่อเหมยเซียงจื่ออีก มีแต่เสี่ยวเซียงที่เป็นหญิงรับใช้ของข้า”
เหมยเซียงจื่องงงัน จะให้นางเป็นหญิงรับใช้หรือนี่
ข้าเป็นถึงคุณหนูใหญ่เชียวนะ…
ชิวเยี่ยไป๋มองดูสีหน้าย้อนแย้งของเหมยเซียงจื่อ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านหรือรับคำ จึงร้องหึเบาๆ “แน่นอน คุณหนูเซียงจื่อจะเลือกกลับตระกูลเหมยเป็นว่าที่นางใน ไม่จำเป็นต้องลดตัวมาเป็นหญิงรับใช้ของขุนนางระดับสี่ก็ได้นะ”
ว่าแล้วนางก็หันกายจากไป โจวอวี่รีบตามและปิดประตู ทิ้งให้เหมยเซียงจื่องงอยู่ตรงนั้นแต่ผู้เดียว
หลังตามชิวเยี่ยไป๋ออกจากห้องแล้ว โจวอวี่ก็พูดเบาๆ อย่างลังเล “ใต้เท้า ท่านจะไปพักที่ห้องของข้าน้อยไหม”
ห้องพักของเขาด้อยกว่าของชิวเยี่ยไป๋อยู่บ้าง แต่นอกจากที่นี่ก็เหลือห้องเดียวแล้ว
ชิวเยี่ยไป๋ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย คว้าสัมภาระแล้วเดินเข้าห้องไป
โจวอวี่ให้เสี่ยวเหยียนจื่อจัดแจงข้าวของให้นาง ส่วนตนเองไปนำน้ำชากาหนึ่งมารินให้ชิวเยี่ยไป๋แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ใต้เท้า เรื่องคุณหนูเหมยนี่คงมิเป็นการ เกิดมีใครจงใจจับผิด เกรงว่าพวกเราคงยุ่งยาก และเหมยซูคนนั้นก็ใช่ว่าจะต่อกรได้ง่ายๆ”
ชิวเยี่ยไป๋นั่งที่กราบเรือ จิบน้ำชาพลางกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ แต่บัดนี้เหมยเซียงจื่ออยู่บนเรือเราแล้ว จะให้นางไปคงไม่ง่าย และอย่างที่เจ้าก็รู้ว่าเหมยซูต่อกรยาก คงไม่นานหรอก อย่างช้าก็คืนนี้ เขาจะรู้แน่ว่าเหมยเซียงจื่ออยู่ในเรือของเรา”
ยามนั้น ขณะนางเสี่ยงเอาตัวเหมยเซียงจื่อไปไว้ในเรือชูชีพ ตรงนั้นบังเอิญเป็นจุดบอด แต่ถ้าหลังเหตุการณ์แล้วทบทวนให้ดี ยังคงมีคนฉุกคิดได้ และยิ่งท่าเรือนั้นได้รับการอนุเคราะห์จากตระกูลเหมย มิรู้ว่ามีหูตาของตระกูลเหมยมากน้อยเท่าใด ถ้าพวกเขาตรวจให้ละเอียดก็ไม่ยากจะนึกได้ว่าเหมยเซียงจื่ออยู่ในเรือลำนี้
“ในเมื่อเขาเดาได้ว่าเหมยเซียงจื่ออยู่ในเรือเรา เขาย่อมต้องติดตามมาแน่นอน ถ้าเราส่งเหมยเซียงจื่อไป นางเป็นคนดื้อรั้น ระหว่างทางหากนางเกิดทำอะไรขึ้นมาเรื่องนี้จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ชิวเยี่ยไป๋คิดว่าตนเองเป็นผู้มีสายตายาวไกล ครั้งนี้เหมยเซียงจื่อเสี่ยงหนีออกจากบ้าน ถ้าส่งนางกลับไปเผลอๆ นางอาจโดดน้ำฆ่าตัวตายหรือทำอะไรที่เหนือความคาดหมาย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จบไม่ลงแล้ว
โจวอวี่จึงเข้าใจแววตาเป็นประกาย “ดังนั้นจึงรั้งนางไว้เสียเลย ไม่แน่ว่าอาจถ่วงดุลเหมยซูไว้ได้”
ชิวเยี่ยไป๋ชำเลืองมองแวบหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ แล้วเตะแข้งเขา “ยังดีนะ ที่เจ้ามิใช่หัวขี้เลื่อย ทางที่ดีพวกเราไปตามน้ำให้คนเรือเร่งให้ถึงไหวหนานเร็วๆ หนีทัพเหมยซูได้วันหนึ่งก็รอดไปวันหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องปะทะให้แตกหัก”
โจวอวี่ยิ้มแห้งๆ เกาศีรษะ เขารู้ดีว่าใต้เท้าหมายถึงเรื่องที่เขางี่เง่าก่อนหน้านี้
“เอ้อ พอถึงที่หมาย เจ้าอย่าให้พวกลูกน้องก่อเรื่องวุ่นวายนะ แค่ทะลึ่งตึงตังกร่างเหมือนเดิมก็พอ”
ชิวเยี่ยไป๋พลันเปลี่ยนเรื่องแล้วสั่ง
โจวอวี่งงงันยังไม่ทันจะเข้าใจ “ใต้เท้า ก่อนการเดินทางท่านเคยอบรมพวกเขาให้ทำตัวเหมือนองครักษ์ซือหลี่เจียนมิใช่หรือ เหตุใดถึง…”
ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มน้อยๆ แววตาลึกล้ำ “ข้าย่อมมีเหตุผล”
…
พวกลูกเรือได้รับคำสั่งจากชิวเยี่ยไป๋และได้รับรางวัลจากโจวอวี่ จึงยิ่งลงแรงทั้งวันทั้งคืน จัดคนเป็นสามกะ ช่วยกันพายเรืออย่างไม่คิดชีวิต ทำให้ไปไหวหนานได้เร็วขึ้น และดึงระยะห่างจากเหมยซูที่ตามล่ามากโข
ส่วนเหมยเซียงจื่อขังตัวเองในห้องหนึ่งวันกับหนึ่งคืนก็คิดตก รุ่งขึ้นหลังชำระล้างหน้าตาแล้ว ก็มาสวัสดีตอนเช้าต่อชิวเยี่ยไป๋ในชุดหญิงชาวเรือเหมือนเดิม
ชิวเยี่ยไป๋เห็นนางก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม ก็อดนึกชมไม่ได้ว่าช่างเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีทีเดียว และคงไม่ทำให้นางลำบากใจอีก เพียงหยิบยาให้เม็ดหนึ่ง ให้นางละลายน้ำลูบหน้าลูบตา ทำให้ใบหน้าที่ผุดผาดหมองคล้ำลง ความงดงามของนางลดลงเหลือเพียงห้าส่วน ดูแล้วเหมือนหญิงรับใช้ที่หน้าตาสะสวยคนหนึ่งเท่านั้น
ขณะเดียวกันก็สั่งเสี่ยวเหยียนจื่อสอนงาน ให้รู้ว่าวันๆ ต้องรับใช้เจ้านายอย่างไรบ้าง
แม้เหมยเซียงจื่อจะไม่อยากฝึกงานกับขันทีหน้าตาไม่ดี แต่ก็กลัวว่าชิวเยี่ยไป๋จะโยนนางลงจากเรืออีก จึงยอมทำตามที่เสี่ยวเหยียนจื่อสอนแต่โดยดี
วังหลวง
หลังคาผลึกแก้วแวววาว กำแพงวังสูงตระหง่าน
อากาศร้อนจัด องค์พระพันปีมักหลบความร้อนไปพักที่เรือนน้ำ จึงทำให้เรือนน้ำที่ออกจะรกร้างอยู่บ้างคึกคักเป็นพิเศษ
“พักนี้องค์พระพันปีสุขภาพดีมาก อีกไม่กี่วันก็จะถึงกลางฤดูร้อนแล้ว แม้กระนั้นยังคงไม่ควรกินน้ำแข็งมากเกินไป อาจเสียสุขภาพหรือไม่ก็ท้องเสีย” หมอหลวงเป็นบุรุษวัยกลางคนอายุราวสี่สิบเศษ จมูกโด่ง ปากกว้าง หนวดสั้น ดูแล้วแข็งแรง เขาเก็บหมอนรองสำหรับแมะตรวจชีพจร แล้วกล่าวต่อพระพันปีอย่างนบนอบ
พระพันปีพยักหน้าถามเบาๆ ว่า “เออนี่ พักนี้องค์จักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้าง พระอาการดีขึ้นบ้างไหม ข้าว่าที่วังเฉียนหนิงร้อนเกินไปนะ จะให้จักรพรรดิย้ายไปประทับที่ที่เย็นหน่อยดีไหม”
หมอหลวงฟังแล้วท่าทางจนใจ ถอนหายใจกล่าวว่า “กราบทูลพระพันปี เดิมทีฝ่าบาทพระอาการดีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ แต่นั่นเพราะบรรดาพระสนมในวังดูแลเป็นอย่างดี แต่พอเข้าหน้าร้อนพระอาการก็ทรุดลง ขณะนี้ยังไม่ควรเคลื่อนย้ายพระเจ้าข้า ข้าน้อยยังบังอาจขอให้องค์พระพันปีทรงเตือนองค์จักรพรรดิด้วย”
ที่ว่าดูแลดีก็หมายถึงองค์จักรพรรดิเสพสมบ่อยไปหน่อยจึงอาการทรุดลง แม้กระนั้นก็ยังไม่เคยได้ยินว่าใครมีข่าวดีเลย และพวกคนที่เคยมีข่าวดีก็มักเอาไว้ไม่อยู่
พระพันปีอายุกว่าห้าสิบแล้วยังคงสะสวยเหมือนสตรีวัยสามสิบ พอฟังแล้วก็มีแววโกรธในดวงตา แค่นเสียงเย็นชาว่า “นางพวกปีศาจจิ้งจอก จักรพรรดินีก็ไม่เอาไหนเสียเลย รู้แต่สวดมนต์ไหว้พระ บุรุษของตัวเองยังไม่ดูแลให้ดี ทำไมตระกูลตู้จึงมีคนไม่ได้เรื่องแบบนี้”