นี่เป็นสุราพิษอย่างแท้จริง
แต่พอเทสุราไปได้หนึ่งในสาม เขาพลันพลิกข้อมือ ยกดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นเสียง เพล้ง ดังขึ้น จอกสุราหล่นจากมือแตกกระจายบนโต๊ะ
เขาแลดูชิวเยี่ยไป๋ด้วยสายตาที่ดูแคลน “ท่านพอใจหรือยัง”
ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาด้วยสีหน้าสับสน เงียบไปเนิ่นนาน ยกแขนราวหยวกกล้วยแตะที่หลังเขา ถอนใจคราหนึ่ง “เจ้ารู้ไหม…”
โจวอวี่จ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง รู้สึกถึงมือขาวผ่องที่ทาบบนหลังทั้งเย็นทั้งร้อน เขาหลุบตาลง ถามเสียงแหบแห้ง “รู้อะไร”
ชิวเยี่ยไป๋ถอนใจอีกครา กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ย่อมพึงรู้ว่าทำจอกชาจานชามผู้อื่นแตกต้องชดใช้ ข้าเงินเดือนน้อย เจ้าทำให้ข้าลำบากใจ”
โจวอวี่ “…”
เขาพลันอยากทุบจานชามและจอกชาของเหลาสุรานี้แตกให้หมด ให้เจ้าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ชดใช้จนไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน!
โจวอวี่กำลังพยายามคลึงหน้าผาก เพื่อให้เส้นเลือดเขียวโปนกลับเข้าที่ จะได้ไม่ทำให้ผู้คนบนถนนตกอกตกใจ และขณะที่ชิวเยี่ยไป๋กำลังคิดอยู่ว่าจะห่อเป็ดไก่เนื้อปลาเหล่านี้อย่างไร จู่ๆ ก็แว่วเสียงด่าทอดังมาแต่ไกล
“ไอ้หลวงจีนเฮงซวย เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตหรือ ถึงกับกล้ามาหลอกกินของข้า!” เสี่ยวเอ้อร์ด่าเกรี้ยวกราดด้วยสำเนียงถิ่น เสียงก่นด่าดึงดูดสายตาของผู้คนที่มากินมื้อดึกทั้งชั้น
แม้เหลาสุราแห่งนี้จะตกแต่งธรรมดามาก สุราอาหารก็รสชาติธรรมดา แต่ราคาก็ยุติธรรมดีและค่อนข้างกว้างขวาง คนเรือและพวกพ่อค้าที่เทียบฝั่งยามราตรีจำนวนไม่น้อย หรือเวลาว่างระหว่างการขนถ่ายสินค้าจึงชอบที่จะมากินข้าวร้านนี้
ดังนั้นเวลานี้ในเหลาสุราจึงมีคนไม่น้อย พอได้ยินเสียงทะเลาะกันก็พากันหันไปดูทันที
เห็นที่มุมห้องไม่ไกลนัก เสี่ยวเอ้อร์สองคนกับคนท่าทางเหมือนเถ้าแก่กำลังเขม้นใส่คนร่างสูงโปร่งสวมจีวรขาวที่สวมหมวกจนไม่เห็นหน้าตาที่หันหลังให้ทุกคน มีแต่ชิวเยี่ยไป๋ที่ตาแหลม ดูออกว่าเนื้อผ้าจีวรนั้นเป็นแพรอวิ๋นจิ่นชั้นเลิศ แต่ชายจีวรดูเหมือนจะเก่าขาดและสกปรก
“ข้าว่าเจ้าน่าจะไม่ใช่หลวงจีนผู้ทรงศีลและมิใช่หลวงจีนบู๊เส้าหลิน หากแต่เป็นไอ้นักต้มที่หลอกกินไปทั่ว!” เสี่ยวเอ้อร์ก่นด่าหลวงจีนอย่างโกรธแค้น
หลวงจีนรูปนั้นนั่งเงียบเหมือนไม่ได้ยิน เถ้าแก่ที่อยู่ข้างตัวเขายังนับว่าเกรงใจอยู่บ้างจึงแค่นเสียงเย็นชา “ไต้ซือ คราก่อนท่านผ่านมาทางนี้ช่วยทำนายให้บุตรสาวข้า แม้เราจะไม่ได้จ่ายค่าหมอดูแต่ก็เลี้ยงอาหารพวกท่านไปมื้อหนึ่ง ครานี้ท่านดื่มกินที่นี่สี่ห้าวัน ถือว่าข้าใจกว้างพอแล้ว ท่านบอกว่าในตัวมีของวางประกันได้ แต่กลับโกหกเราครั้งแล้วครั้งเล่า มันออกจะเกินไปแล้ว!”
หลวงจีนที่นั่งนิ่งตั้งแต่แรก พลันล้วงป้ายไม้แกะสลักประณีตอันหนึ่งวางลงบนโต๊ะ กล่าวเพียงสองคำว่า “ให้เจ้า”
สีหน้าของเถ้าแก่ยิ่งเย็นลง “หลวงจีน อย่าเห็นว่าเราเกรงใจเจ้าก็หยามหน้ากันเช่นนี้ นี่มันของเฮงซวยอะไรกัน หลอกคนไปหนหนึ่งแล้วยังคิดว่าผู้อื่นล้วนโง่เขลาหรือ!”
เสี่ยวเอ้อร์ชายตามองป้ายไม้แล้วขว้างใส่พื้น ด่าส่งว่า “เช้านี้ตอนเจ้ามากินมื้อเช้า ก็เอาของนี่ออกมาหลอกหนหนึ่งแล้ว เถ้าแก่เอาไปโรงจำนำ คนที่โรงจำนำบอกว่านี่เป็นไม้สนทั่วไป ตามริมทางขายอันละสองอีแปะ ตอนเที่ยงเจ้าก็เอาป้ายนี้มาหลอกอีก เถ้าแก่เราเห็นแก่ที่เคยรู้จักกันจึงให้เจ้ากินเปล่า ยังเตือนว่าหากเจ้าไม่จ่ายจะไม่เกรงใจแล้ว เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าก่อนกินอาหารค่ำเจ้ารับปากเถ้าแก่เราว่าอย่างไร”
หลวงจีนไม่ตอบ ล้วงป้ายไม้อีกอันออกจากแขนเสื้อวางบนโต๊ะ กล่าวว่า “ให้เจ้า”
เขาหยุดเล็กน้อย แล้วพูดเสริมว่า “ค่าอาหารของอาตมา”
เถ้าแก่ “…”
เสี่ยวเอ้อร์ “…”
ทุกคน “…”
ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วอย่างอดมิได้ เจ้าหลวงจีนคนนี้สวดมนต์จนเซ่อไปแล้วหรือไร
ไม่เพียงนางที่คิดเช่นนี้ ทุกคนในที่นั้นก็คิดเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเอ้อร์มิได้คิดเช่นนี้
เสี่ยวเอ้อร์หน้าแดงก่ำในพริบตา ผลักหลวงจีนอย่างหยาบคายด้วยอารมณ์โกรธ “มารดาเจ้าเถิด ไอ้งั่งนี่คิดว่าข้าไม่มีน้ำโหหรือวะ!”
เสี่ยวเอ้อร์กับเถ้าแก่ต่างก็เคยเป็นคนวิ่งเรือมาก่อน กำยำล่ำสัน เรี่ยวแรงมหาศาล พอลงไม้ลงมือหลวงจีนก็ถูกผลักไปที่มุมผนัง
เขาเซถึงมุมผนัง หมวกบนศีรษะร่วงหล่นในพริบตา เผยให้เห็นผมสีเงินยวงเต็มศีรษะ ดึงดูดสายตาผู้คนในพริบตา
หลวงจีนผู้นี้ถึงกับมิได้โกนศีรษะ เส้นผมนุ่มเต็มศีรษะยาวถึงเอว เพียงรัดไว้ง่ายๆ ด้วยเชือกแพรสีดำ สีเงินยวงนั่นมิใช่สีขาวโพลนไร้ประกายเช่นคนเราทั่วไป หากแต่นุ่มนิ่มราวสายน้ำสีเงิน หรือจะว่าเป็นแพรต่วนสีเงินผืนหนึ่งก็ได้ นุ่มนิ่มจนผู้คนอยากลูบคลำสักครา
และใบหน้าใต้ผมสีเงินยวงที่ผู้คนไม่อยากละสายตานั้น ผิวพรรณขาวจนเกือบโปร่งใสทำเอาผู้คนคิดว่าเหมือนผลึกน้ำแข็งหิมะบนยอดเขาเทียนซาน แม้แต่หยกขาวไขแกะชั้นดีที่สุดก็ยังเทียบมิได้
ราวกับผลึกแก้วผลึกหิมะผสานกับหยกชั้นดี
แม้ปอยผมปรกหน้าที่ยาวเกินไปจนปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง แต่ลำพังลายเส้นจากปลายจมูกและคางก็งดงามปานสลักด้วยหยกจากฝีมือของช่างชั้นเลิศที่ทุ่มเททั้งชีวิต
เขายืดตัวช้าๆ นั่งตรง เงยหน้าแลดูคนรอบข้างแวบหนึ่ง เผยให้เห็นนัยน์ตาสีเทาเงินราวปรอท เพียงแวบเดียวก็ทำเอาทุกคนในที่นั้นจิตใจสงบลง
เราสดับมาเช่นนี้ แสงสีคือสุญตา สีสันหลากหลายทั้งสามพันล้วนเป็นมายา เราสดับมาดังนี้ สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง ดุจดังการบานเบ่งของดอกถานฮวาผู้ทำลายกิเลสทั้งปวง
แม้แต่ชิวเยี่ยไป๋ที่เคยเห็นคนงามจนชินตาก็ยังตะลึงงันชั่วพริบตา เขาเพียงนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีเทาเงินแลดูทุกคนเงียบๆ กลับทำให้ทุกคนถึงกับรู้สึกว่าเขากำลังจ้องมองตนอย่างน่าประหลาด ทำให้ผู้คนจู่ๆ ก็มองเห็นสภาพของโลกมนุษย์ท่ามกลางแววตาสงบสีเทาเงินของเขา และคล้ายกับได้ยินเสียงสวดภาวนารอบกาย ได้กลิ่นธูปบูชาพุทธะเจือจาง
จนผู้คนรู้สึกหลอนแทบจะอยากประนมมือลงกราบ คุกเข่าจุมพิตชายจีวรของเขา ก็จะหลุดพ้นจากรักโลภโกรธหลงในชาตินี้
ความงดงามที่ไม่ธรรมดานี้ ชิวเยี่ยไป๋เคยเห็นเพียงสองคน คนหนึ่งคือไป๋หลี่ชู อีกคนคือเหมยซู แต่ที่ต่างจากคนทั้งสองคือหลวงจีนชุดขาวผู้นี้ทำให้นางนึกถึงคำว่า…ศักดิ์สิทธิ์มิส้องเสพสิ่งใดของมวลมนุษย์
หลวงจีนผู้ศักดิ์สิทธิ์มิส้องเสพสิ่งใดของมวลมนุษย์ เหลือบมองทุกคนด้วยสายตาปรานีปราดหนึ่ง จากนั้นหลุดคำพูดแผ่วเบา “เอาผัดไส้หมูมาสองชั่ง”
ผัดไส้หมู…ผัดไส้หมู…ผัดไส้หมู…
น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ระรื่นหูกังวานกลางความสงบเงียบสะท้อนไปมา
“…” บรรดาสาธุชนถึงกับหมดคำจะพูด