เพิ่งจะเดินขึ้นมายังทางโค้งบันไดชั้นสาม ก็พบกับเฉียวจิ่งเหยียนที่อ้าสองแขนออกกว้างยืนขวางตรงกลางบันไดเอาไว้
“หลีก”
เมื่อเห็นเด็กที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับตัวเองแท้ ๆ ครั้นกลับเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นกับผู้ชายคนอื่น บันดาลโทสะที่อยู่ในใจเขาจึงอดไม่ได้ที่จะระอุขึ้นมา
“ไม่หลีก ! คุณทำให้หม่ามี๊ของผมไม่พอใจ คุณไปขอโทษท่านเดี๋ยวนี้ !”
เฉียวจิ่งเหยียนไม่ถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว คิ้วคู่นั้นขมวดขึ้นด้วยความไม่พอใจ มองดูแล้วคล้ายกับเฉินเป่ยชวนย่อส่วนโดยสิ้นเชิง ลูกผู้ชาย แถมยังเป็นผู้ชายที่อายุมากเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะทะเลาะเบาะแว้งเป็นเด็ก ๆ อยู่ แถมยังปฏิเสธไม่ยอมรับผิดอีกด้วย
เคยเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษามาก่อนหรือเปล่า ?
“หลีกไป !”
ความรู้สึกหงุดหงิดในใจของเฉินเป่ยชวนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เขายื่นมือดึงร่างน้อย ๆ ไปข้าง ๆ ทันที จากนั้นก็สาวเท้าเดินกลับห้องตัวเองไป
“เฉินเป่ยชวนบ้า เฉินเป่ยชวนเลว ผมไม่ชอบคุณแล้ว !”
เจ้าตัวน้อยที่ถูกดึงไปมุมข้าง ๆ ทำปากมุ่ย เขายืนรออยู่หน้าประตูที่ถูกเปิดออกและปิดลงบานนั้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คนชั่ว ! ตอนแรกนึกว่าเขาจะเปลี่ยนจากคนชั่วเป็นคนดีได้แล้ว ครั้นเขายังคงเป็นคนชั่วอยู่ดี !
เฉียวชูเฉี่ยนอยู่ในห้องนอน เธอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกชัดเจนแจ่มแจ้งครั้นกลับไม่ขยับไปไหน เธอนอนบนเตียงสายตาเหม่อลอยจับจ้องไปที่หลังคาที่ออกแบบอย่างสวยงามแน่นิ่งราวกับถูกตรึงไว้อย่างไรอย่างนั้น
ถ้าหากเธอเป็นเด็กน้อยจะดีแค่ไหนนะ จะได้บอกเขาไปเช่นกันว่า เฉินเป่ยชวน ฉันไม่ชอบคุณแล้ว และจะไม่ชอบคุณอีกแล้ว
ทว่าเธอทำไม่ได้ ช่วงเวลาสิบปีที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ ได้ถูกคนผู้นั้นสลักไว้ในก้นบึ้งของจิตใจอย่างแน่นหนาตั้งนานแล้ว
“หม่ามี๊ ผมเข้าไปได้ไหมครับ ?”
เสียงเคาะประตูและเสียงเจ้าตัวน้อยสอบถามอย่างระมัดระวังดังมาจากด้านนอก เธอจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง พร้อมขยี้ดวงตาที่เจ็บปวดและบวมเต่งเนื่องจากไม่ได้นอนทั้งคืน
“เข้ามา”
เจ้าตัวน้อยผลักเปิดประตูเข้าห้องมา เมื่อเห็นใต้ตาอันหมองคล้ำของเธอ จึงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เฉินเป่ยชวนคนเลว ทำให้หม่ามี๊โมโหขนาดนี้เลยหรือ หม่ามี๊ยังไม่นอนด้วยซ้ำ
เฉียวชูเฉี่ยนทราบว่าสีหน้าของตนเองไม่ดีเท่าไร จึงพยายามโบกมือให้เขาพร้อมฉีกยิ้มขึ้น จากนั้นก็ดึงร่างน้อย ๆ เข้ามานั่งข้างตนเอง
“จิ่งเหยียน หม่ามี๊พาหนูออกไปจากที่นี่ดีไหมคะ ?”
เดิมทีเธอก็ถูกบังคับขู่เข็นจึงเข้ามาอาศัยที่บ้านตระกูลเฉิน แม้ระหว่างที่พักอยู่ที่นี่จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เธอคิดว่าที่นี่คือบ้านของตัวเองจริง ๆ ก็ตาม ทว่าตอนนี้เธอได้ตื่นจากภวังค์แล้ว บ้านตระกูลเฉินเป็นของเฉินเป่ยชวน ไม่ใช่ของพวกเธอสองแม่ลูก
“หม่ามี๊โกรธมากเลยใช่ไหมครับ ?”
เฉียวจิ่งเหยียนเงยหน้าพร้อมสอบถามด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อก่อนหม่ามี๊ก็จะโมโหบ้าง ครั้นเมื่อผ่านไปไม่กี่วันก็จะดีขึ้นมาเอง มีบางครายามที่ทะเลาะกับเขาเมื่อวันต่อมาก็จะลืมไปจนหมดสิ้นแล้ว
“หม่ามี๊ไม่ได้โกรธค่ะ แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา”
น้ำตาที่เพิ่งเช็ดแห้งไปแล้วอดไม่ได้ที่จะไหลรินลงมาอีกครา เธอพยายามอดทนเต็มที่ไม่อยากทำให้ลูกเห็นด้านที่อ่อนแอของตนเอง ไม่อยากให้จิตวิญญาณอันไร้เดียงสาของเขาต้องเปลี่ยนเป็นอ่อนไหวง่ายและไร้ซึ่งความรู้สึกปลอดภัยเนื่องด้วยเหตุนี้ ทว่าน้ำตาของเธอกลับดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อที่จะไหลออกมาด้านนอกราวกับจงใจกลั่นแกล้งเธออย่างไรอย่างนั้น เธอจึงทำได้เพียงหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง
“ผมเข้าใจแล้วครับ จิ่งเหยียนจะไปกับหม่ามี๊ หม่ามี๊บอกว่าไปไหนผมก็จะไปด้วยครับ”
หัวคิ้วของเจ้าตัวน้อยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ครั้งนี้เฉินเป่ยชวนไม่ได้ทำให้หม่ามี๊โกรธ แต่ทำให้ผิดหวัง เมื่อสักครู่ในสายตาของหม่ามี๊ได้สะท้อนรังสีออกมาว่าเธอนั้นหาความหวังไม่เจอ
เมื่อน้ำตาได้ยินคำพูดที่ไร้เดียงสาครั้นอบอุ่นหัวใจ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะไหลรินลงมาอาบแก้มอีกครั้ง เฉียวชูเฉี่ยนยื่นมือโอบเขาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทันที
“ขอโทษนะคะ”
การกระทำที่เปลี่ยนไปที่จิ่งเหยียนมีต่อเฉินเป่ยชวนในช่วงเวลานี้ เธอเห็นมันทั้งหมด ลูกที่เธอคลอดที่เธอเลี้ยงดูมา แน่นอนว่าจะต้องเข้าใจถึงความปรารถนาในใจของเขาที่มีต่อความรักของบิดา ทว่ากลับทำให้เขาดีใจเสียเปล่า
“หม่ามี๊โง่ ผมคือลูกชายของหม่ามี๊นะ จะมาพูดขอโทษกับผมทำไม”
สองมือน้อย ๆ อ้อมไปอยู่แผ่นหลังของเธอ พร้อมลูบไปมาด้วยความเบามือ ตอนนี้หม่ามี๊จะต้องโศกเศร้าเสียใจมากกว่าเขาอย่างมากเป็นแน่ หม่ามี๊คือผู้ที่ต้องการปลอบใจและขอโทษที่สุดถึงจะถูก
“เด็กดี เดี๋ยววันพรุ่งนี้หม่ามี๊จะบอกกับคุณย่าทวด แล้วพวกเราก็ออกจากที่นี่กันนะคะ”
เมื่อนึกถึงคุณย่าขอบตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะแดงก่ำขึ้นมาอีกครา เธอไม่ทราบจริง ๆ ว่าควรบอกคุณย่าว่าเธอจะออกจากบ้านไปอย่างไรดี
เข้าตรู่วันต่อมา เฉียวชูเฉี่ยนลงจากชั้นบนก็พบกับท่านผู้หญิงที่กำลังนั่งรอคอยเธออยู่ในห้องอาหาร เห็นดังนั้นเธอจึงก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปหา “คุณย่าคะ หนูมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณย่าหน่อยค่ะ”
เธอและจิ่งเหยียนไม่เหมาะสมที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว
“ยายหนู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทานข้าวเสร็จแล้วค่อยว่ากันดีไหม อย่างนี้ถึงจะมีแรงนะ”
ท่านผู้หญิงดึงเธอเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ให้โอกาสเธอได้เอ่ยต่อ เธอมองอาหารมื้อเช้าเต็มโต๊ะเบื้องหน้า พร้อมเม้มปาก “คุณย่าคะ หนูกับจิ่งเหยียน……”
“เป่ยชวน รีบมาทานข้าวเร็ว ยายหนูรอเธออยู่นะ ทานเสร็จแล้วจะได้ไปบริษัทพร้อมกัน”
คำพูดของเธอยังไม่ทันได้เอ่ยจบก็ถูกคุณย่าพูดตัดบทอีกคราเสียแล้ว เธอหันหน้าไปมองผู้ชายที่กำลังเดินลงจากชั้นบน จึงอดกลั้นคำพูดที่อยากจะเอ่ยไว้ชั่วคราว
“ผมไม่หิว”
เฉินเป่ยชวนกวาดสายตามองผ่านใบหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนไปอย่างเย็นชา ครั้นใบหน้าอันซีดเซียวของเธอนั้นทำให้เท้าของเขาก้าวช้าลง จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ยายหนู สายแล้วนะ หนูเอามื้อเช้าไปทานระหว่างทางเถอะ รีบไปสิ”
ท่านผู้หญิงมานั่งรอที่ชั้นล่างตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะสร้างโอกาสให้ทั้งสองคนที่โกรธกันอยู่ จึงได้รีบนำแซนด์วิชยัดเขามือเธอพร้อมส่งสายตาเร่งรัดเธอ
“นายหญิงน้อย มีคนมาหาคุณข้างนอกค่ะ”
ขณะที่เฉียวชูเฉี่ยนกำลังอึดอัดใจอยู่นั้น อยู่ ๆ คนรับใช้ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก เธอจึงชะงักไป เช้า ๆ แบบนี้ใครมาหาเธอกัน อีกทั้งยังมาหาถึงคฤหาสน์หลังเก่าตระกูลเฉินอีกต่างหาก
“ใครมามายายหนูของเรากัน ?”
ท่านผู้หญิงมองไปด้านนอก ก็เห็นเพียงรถยนต์คันสีฟ้า ภายในใจจึงมีความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา คงไม่ใช่ผู้ชายคนที่ชอบยายหนูหรอกใช่ไหม ?
“เขาบอกว่าเขาชื่อลู่ฉีค่ะ” คนรับใช้มองเฉินเป่ยชวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเบา
คิ้วที่ขมวดอยู่เมื่อสักครู่นี้ของเฉินเป่ยชวนอยู่ ๆ ก็คลายออก นัยน์ตาหลงเหลือเพียงความเย็นชาสุดขีด คิดไม่ถึงว่าเมื่อสักครู่นี้ตอนที่เขาเห็นใบหน้าอันซีดเซียวของเธอแล้วจะรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา
ครั้นผู้หญิงคนนี้กลับทนรอไม่ไหวที่จะออกจากตนเองแล้วเข้าไปสู่อ้อมกอดของผู้อื่นเต็มทน แค่นึกถึงท่าทางของตนเองเมื่อสักครู่นี้ มันน่าขันเสียจริง
ลู่ฉีหรือ ?
เฉียวชูเฉี่ยนคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าผู้ที่มาหาเธอนั้นจะเป็นลู่ฉี หรือว่าเขาสืบเจอเรื่องราวบางอย่างกะทันหันแล้วอย่างนั้นหรือ ?
“คุณย่าคะ หนูไปดูสักหน่อยนะคะ”
ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เต้นระรัวขึ้น ลู่ฉีมาแล้วจะบอกเธอหรือไม่ว่าผลการสืบเมื่อครั้งก่อนนั้นเกิดความผิดพลาด ความจริงแล้วตระกูลเฉียวไม่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยชวนโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเขาจึงได้รีบร้อนมาหาเธอถึงที่บ้านตระกูลเฉินเช่นนี้ ?
“ยายหนู……”
ท่านผู้หญิงต้องการที่จะเดินตามไปดูว่าลู่ฉีผู้นั้นเป็นคู่แข่งแบบไหนกันแน่ถึงได้ทำให้เมื่อสักครู่นี้สีหน้าของหลานชายตนเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น ครั้นยังไม่ทันได้เดินตามไป เฉียวชูเฉี่ยนได้สาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และความรีบร้อนเช่นนี้ของเธอก็ไปยั่วโมโหผู้ชายข้าง ๆ ที่มีรัศมีแห่งความเย็นยะเยือกกระจายออกมาพอดี ดีมาก พวกเขาอดใจรอไม่ไหวจนถึงขั้นนี้แล้ว
หลังจากที่สาวเท้าออกจากคฤหาสน์โดยเร็วแล้วนั้น จึงพบว่าลู่ฉีกำลังรอคอยเธออยู่หน้าประตูจริง ๆ
“เฉี่ยนเฉียน”
“คุณมาหาฉันเพราะว่ามีธุระด่วนอะไรใช่ไหมคะ ?”
ลู่ฉีไม่เข้าใจว่าเหตุใดภายในแววตาของเธอจึงมีความรีบร้อนอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ ครั้นมุมปากของเขากลับยกขึ้นมา “ผมคิดว่าที่นี่คงโบกรถแท็กซี่ไปทำงานไม่สะดวก ก็เลยอยากมารับคุณน่ะ”
ถ้าหากต้องการย้ายบ้านเขาก็ช่วยเหลือได้เช่นกัน
“ที่คุณมา……ก็เพื่อมารับฉันไปทำงานหรอกเหรอคะ ?”
หัวใจของเธอราวกับเพิ่งนั่งรถไฟเหาะ จากความคาดหวังไปจนถึงความผิดหวัง ดวงตามีความรู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาทันควัน ที่แท้ความคาดหวังที่ไม่ควรมีนั้นก็ไม่สมควรยอมให้มันออกมาตั้งแต่แรก
“เฉี่ยนเฉียน ผมมาไม่ถูกเวลาใช่ไหม ?”
เมื่อลู่ฉีเห็นความผิดหวังและเศร้าใจที่อยู่ในแววตาของเธอแล้ว น้ำเสียงเขาจึงอ่อนโยนลง ครั้นกลับปกปิดความรู้สึกที่หนักอึ้งในใจของตัวเองเอาไว้ไม่ได้
เธอยังคงตัดใจจากเฉินเป่ยชวนไม่ได้