ตั้งแต่ที่หลินเฟยเอ๋อร์เข้าประตูมา ก็ยังคงรักษารอยยิ้มอันสวยงามที่สุดของตนเองเอาไว้ตลอด แสงแฟลชเบื้องล่างเวทีสาดเข้ามาไม่หยุด เธอให้ความร่วมมือนักข่าวถ่ายรูปอย่างอ่อนโยน แถมยังส่งสายตาอันลึกซึ้งให้เฉินเป่ยชวนเป็นประจำอีกด้วย ครั้นเฉินเป่ยชวนนั้น รอยยิ้มที่ดูลึกลับบนสีหน้าทำให้ผู้อื่นมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ท่านประธานเฉินคะ ขอถามหน่อยค่ะที่คุณหย่ากับเฉียวชูเฉี่ยนเป็นเพราะลู่ฉีใช่ไหมคะ ?”
มีนักข่าวที่อดทนรอไม่ไหวผู้หนึ่งลุกขึ้นมาพร้อมถามขึ้นเสียงดัง ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ จึงกักเก็บรอยยิ้มเอาไว้ทันที เฉินเป่ยชวนผู้ที่เป็นเสมือนเทพผู้ยิ่งใหญ่ในซั่นเป่ย ก็เป็นผู้ที่โดนสวมเขาบนศีรษะด้วยอย่างนั้นหรือ
รู้สึกว่าความรู้สึกอิจฉาริษยาในเมื่อก่อนนั้นหายไปในพริบตา ความรู้สึกเช่นนี้เยี่ยมไปเลย
สีหน้าของเฉินเป่ยชวนแน่นิ่ง เรื่องโดนสวมเขาหากเป็นผู้ชายคนใดต่างก็ต้องรู้สึกแย่เช่นเดียวกันหมด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเขาเลย
“ไม่ใช่ทุกคนที่ผมเฉินเป่ยชวนจะต้องตาได้หรอกนะ”
ครั้นภายในหัวใจที่สมควรตายของผู้หญิงที่เขาต้องตากลับมีผู้ชายคนอื่นอยู่
“ท่านประธานเฉินคะ ถ้างั้นที่คุณหย่ากับภรรยาเก่าก็เกี่ยวกับคุณเฟยเอ๋อร์เหรอคะ ?”
นักข่าวที่เพิ่งสอบถามเมื่อสักครู่นี้ซักไซ้ถามต่อ ในเมื่อวันนี้มาแล้ว อย่างไรก็จะต้องได้ข่าวสารกลับไปให้ได้
เมื่อหลินเฟยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น รอบดวงตาก็แดงก่ำขึ้นทันที “คุณนักข่าวท่านนี้กำลังคิดว่าฉันเป็นมือที่สามที่เข้าไปแทรกงานแต่งงานของคนอื่นงั้นเหรอคะ ?”
สีหน้าท่าทางอันน่าสงสารเช่นนี้ทำให้ผู้ชายที่อยู่ในห้องโถงต่างก็รู้สึกตัดใจไม่ลง มือที่สามที่สวยเช่นนี้ ถ้าหากเป็นไปได้พวกเขาเองก็อยากได้เช่นเดียวกัน
“แน่นอนว่าไม่เกี่ยวกัน”
เฉินเป่ยชวนตอบกลับไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ระหว่างเธอกับเฉียวชูเฉี่ยนนั้นไม่มียามใดที่จะมีมือที่สามโผล่ขึ้นมาแทรกได้
“คุณหลินเฟยเอ๋อร์คะ ขอถามหน่อยค่ะ คุณมีข้อคิดเห็นกับภรรยาเก่าของท่านประธานเฉินหรือเปล่าคะ และก็งานแต่งงานของคุณและท่านประธานเฉินจะจัดขึ้นเมื่อไหร่คะ มีสถานที่แล้วใช่ไหมคะ ?”
นักข่าวผู้อื่นลุกขึ้นมา หลินเฟยเอ๋อร์มองหน้าเฉินเป่ยชวนแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยเม้มปากแล้วเอ่ยขึ้นมา “ฉันยินยอมที่จะกลายเป็นผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างเฉินเป่ยชวนไปตลอดชีวิตค่ะ สำหรับเรื่องงานแต่งงาน ฉันฟังเป่ยชวนทุกอย่าง”
บนใบหน้าของเธอมีความเขินอายของสุภาพสตรีผุดขึ้นมา เธอใช้กลเม็ดการถอยเพื่อขยับไปอีกขั้นในการไขว่คว้าความต้องการของตนมาครอบครอง
เธอจะไม่ให้เฉินเป่ยชวนรู้สึกว่าตนเองถูกบังคับให้แต่งงาน ดังนั้นเรื่องงานแต่งงานเธอจึงยกให้เป็นหน้าที่ของเขาในการกำกับ
“ท่านประธานเฉินคะ ขอถามหน่อยค่ะ การที่ทั้งสองท่านรีบร้อนหมั้นกันแบบนี้เป็นเพราะจัดเตรียมงานแต่งงานเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ วันแต่งงานก็กำหนดไว้แล้วเหมือนกันใช่ไหมคะ”
“อีกครึ่งเดือนก็จะเป็นพิธีสมรสระหว่างผมกับเฟยเอ๋อร์ ถึงเวลานั้นเรียนเชิญพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกท่านอย่าลืมมาดื่มเหล้าอวยพรด้วยนะครับ”
สิ้นเสียงเฉินเป่ยชวน ไม่เพียงแค่นักข่าวเท่านั้นที่รู้สึกว่ารวดเร็วเกินไป แม้แต่หลินเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน เดิมทีเธอคิดว่าหลังจากที่เฉินเป่ยชวนหมั้นแล้วอย่างน้อยก็ต้องครึ่งปีถึงจะมาสู่ขอตน ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดว่าอีกครึ่งเดือนก็จะเป็นพิธีสมรสแล้วเช่นนี้
บนใบหน้าของเธอผุดเป็นรอยยิ้มอันปลื้มปิติ ครั้นก้นบึ้งของจิตใจกลับมีความรู้สึกร้อนรนเล็กน้อย เธอรู้จักเฉินเป่ยชวนดี การที่เขาจัดงานแต่งรวดเร็วเช่นนี้ หมายความได้เพียงว่าเขานั้นไม่มีความรู้สึกอันใดกับเธอเลยแม้แต่น้อย
“ทำไม ? อีกครึ่งเดือนเราก็จะแต่งงานกันแล้ว คุณไม่ดีใจเหรอ ?”
มือของเฉินเป่ยชวนยกขึ้นมาโอบเอวของเธอไว้ด้วยความจำยอม รอยยิ้มอันเหน็บแนมมุมริมฝีปากบวกกับน้ำเสียงอันเย็นชาของเขาทำให้หลินเฟยเอ๋อร์หัวใจเต้นระรัวยิ่งขึ้น
“เป่ยชวน ฉันต้องดีใจแน่นอนสิคะ”
“เป่ยชวน ฉันต้องดีใจแน่นอนสิคะ”
หลินเฟยเอ๋อร์เอนตัวเข้ามาอิงเข้าในอ้อมอกของเฉินเป่ยชวนทันทีที่สิ้นเสียง ครั้นนิ้วมือที่อยู่ด้านหลังกลับกุมกันแน่นเนื่องจากความกระส่ายกระสับ ภายในครึ่งเดือนนี้เธอจะต้องคิดหาวิธีจัดการภัยคุกคามที่มีทั้งหมดให้ได้
งานประกาศนั้นจบสิ้นลงภายใต้ความตกตะลึงของนักข่าว เฉินเป่ยชวนเดินออกจากห้องโถงมาพร้อมทั้งชักมือที่อยู่ช่วงเอวของหลินเฟยเอ๋อร์กลับคืนมา นัยน์ตามีความเกลียดชังที่ไม่ปกปิดเอาไว้แม้แต่น้อย
“เรื่องงานแต่งงานฉันแค่ต้องรู้สถานที่จัดก็พอ”
นัยน์ตาอันเย็นชานั้นทำให้หัวใจของหลินเฟยเอ๋อร์สั่นคลอนไป ทั้งที่ควรเป็นช่วงเวลาอันมีความสุขแท้ ๆ ครั้นกลับเป็นความผิดหวังที่พูดไม่ออกเกิดขึ้นมาแทน ผู้ชายที่จะสู่ขอเธอแต่งงานในอีกครึ่งเดือนข้างหน้านี้ เขาไม่ยินยอมที่จะเสียเวลาเพื่องานแต่งของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว สำหรับผู้หญิงแล้วสิ่งนี้เป็นการหยามเหยียดอันร้ายแรงที่สุด
“ค่ะ ฉันจะจัดงานแต่งเราให้มีหน้ามีตาและงดงามที่สุดเลยค่ะ”
เธอใช้รอยยิ้มกักเก็บความทุกข์ตรมในใจเอาไว้ ขอเพียงแค่ได้ผู้ชายคนนี้มาครอง แค่ถูกหยามเหยียดแค่นี้สบายมาก
“สิ่งที่คุณอยากได้ฉันให้คุณได้ แต่อย่ามาท้าทายความอดทนของฉันอีก ไม่อย่างนั้น คุณรับผลที่จะตามมาไม่ไหวแน่”
มุมริมฝีปากอันเยือกเย็นขยับขึ้นอีกครา นัยน์ตาของเขามีความดุดันและความเย็นชาแวบเข้ามา “อย่าคิดว่าฉันไม่เข้าไปยุ่งก็เลยไม่รู้เรื่องที่คุณทำลับหลังเหล่านั้นหรอกนะ ฉันจะทำให้คุณรู้ว่าอะไรคือสิ้นเนื้อประดาตัว”
นักข่าวกลุ่มนั้นที่อยู่หน้าโรงเรียนเมื่อวานนี้ และยังมีข่าวสารที่สื่อเผยแพร่ออกมาต่อเนื่องสองวันมานี้ หลินเฟยเอ๋อไม่มีทางแก้ตัวขึ้นโดยสิ้นเชิง
“ฉันทราบแล้วค่ะ จากนี้ไปคุณให้ฉันทำอะไรฉันก็จะทำอันนั้น”
ภายใต้แววตาอันดุดันของเขา ราวกับตนเองถูกมองทะลุปรุโปร่งแล้วอย่างไรอย่างนั้น เธอสามารถกระทำอะไรตามใจชอบภายในขอบเขตที่เฉินเป่ยชวนอนุญาตได้ ครั้นถ้าหากก้าวข้ามขอบเขตนั้นไป สุดท้ายผู้ที่จะได้รับโทษก็มีเพียงตัวเธอเองเท่านั้น
ทันใดนั้นเองเสียงเรียกเข้าที่เธอตั้งค่าให้เบอร์ ๆ หนึ่งโดยเฉพาะก็ดังขึ้นในเวลานี้ ในใจของหลินเฟยเอ๋อร์ร้อนรนเพิ่มมากขึ้น เมื่อวานนี้เธอโทรหาคนผู้นั้นครั้นเขาไม่รับสาย วันนี้ดันโทรกลับเข้ามาในเวลาเช่นนี้เสียได้
เฉินเป่ยชวนเห็นความกระส่ายกระสับที่อยู่ในแววตาของเธอชัดเจน เขายักคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อคุณมีงานเข้า ฉันก็ไม่ต้องไปส่งคุณแล้ว”
สิ้นเสียงขาเรียวยาวของเขาก้าวเดินมุ่งไปยังรถยนต์ยี่ห้อมายบัคที่จอดอยู่ไกล ๆ ทันที
คราวนี้หลินเฟยเอ๋อร์จึงโล่งใจได้เสียที เธอกุมหัวใจอันเต้นระรัวของตนเองไว้แล้วกดรับสายอย่างเร็วไว พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตำหนิติเตียนอย่างที่เคยชิน “ฮัลโหล ทำไมนายถึงโทรมาหาฉันในเวลานี้ !”
“ระวังน้ำเสียงที่คุณพูดกับผมด้วย”
น้ำเสียงของทางนั้นได้ผ่านการดัดแปลงพิเศษมาแล้วครั้นยังคงฟังออกถึงความนิ่งและความน่ากลัวของผู้พูดอยู่ดี หลินเฟยเอ๋อร์กลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นก็กวาดสายตามองรอบ ๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีนักข่าวจึงได้เดินขึ้นรถตนเองไปด้วยความรวดเร็ว
“เมื่อวานนี้ฉันมีธุระด่วนเลยโทรหาคุณ ทำไมคุณไม่รับสายฉัน ?”
เธอจัดการลดน้ำเสียงของตนเองลงบ้าง ถ้าหากให้เฉินเป่ยชวนทราบว่าลูกชายของเฉียวชูเฉี่ยนไม่ใช่ของลู่ฉี่แต่เป็นของเขาแล้วนั้น เธอเกรงว่างานแต่งงานในอีกครึ่งเดือนคงต้องล้มเลิกเป็นแน่
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือไงว่าห้ามโทรหาผม มีเรื่องอะไรผมจะติดต่อคุณเอง คุณลืมแล้วหรือไง !”
ภายในรถยนต์ยี่ห้อธรรมดาคันหนึ่งที่จอดอยู่ในลานจอดรถของโรงแรม เฉินจิ้นถงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาหลังแว่นตานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง หวังว่าสายนี้จะทำให้ผู้หญิงคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเข้าใจนะ ว่าจะเป็นหมากที่ว่านอนสอนง่ายได้อย่างไร
ภายในใจของหลินเฟยเอ๋อร์โมโหแทบตาย หากเฉินเป่ยชวนใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับเธอก็ถือว่ารับได้ ครั้นคนผู้นี้เป็นใครมาจากไหน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้คุยกับเธอ ขณะที่คิดจะโวยวายนั้นปลายสายก็มีเสียงดังเข้ามาอีกครั้ง
“คุณโทรหาผมมีธุระอะไร ?”
“เมื่อก่อนฉันให้คนไปสืบลูกคนนั้นของเฉียวชูเฉี่ยน เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของลู่ฉีกับเฉียวชูเฉี่ยน แต่เป็นของเฉินเป่ยชวน”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่าเฉินเป่ยชวนมีลูกชายอยู่หนึ่งคน ภายในใจของเธอก็ราวกับมีระเบิดมาติดตั้งอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทำให้เธอนอนโดยไม่สบายใจทั้งคืน
“ดังนั้นคุณเลยกลัวงั้นเหรอ ?”
น้ำเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นมา ครั้นหลินเฟยเอ๋อร์ที่ร้อนรนใจอยู่นั้นกลับไม่สนแล้วว่าตนเองกำลังถูกเย้ยหยันอยู่หรือไม่ เธอเอ่ยขึ้นในเวลาต่อมาราวกับเจอผู้ช่วยโลก “คุณจะช่วยฉันจัดการเด็กคนนั้นใช่ไหม ?”
แม้จะไม่ทราบนิสัยใจคอของผู้ชายคนนี้ ครั้นลางสังหรณ์บอกเธอว่า เขาสามารถช่วยเหลือตนในการบรรลุความปรารถนาได้
“ทำไมผมต้องช่วยเหลือคุณกำจัดเด็กคนนั้นด้วย ? ผมบอกแค่ว่าจะร่วมมือกับคุณ ไม่ได้จะเป็นอาวุธสังหารคนให้คุณสักหน่อย อยากจะกำจัดเสี้ยนหนาม ก็คิดหาวิธีเอาเอง”
“คุณไม่ยอมช่วยฉันงั้นเหรอ ?” หลินเฟยเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าฝ่ายนั้นจะมีการตอบสนองเช่นนี้ บัดนี้อารมณ์ของเธอเดือดดาลขึ้นยิ่งกว่าเมื่อสักครู่แล้ว “ในเมื่อไม่ยอมช่วยฉัน งั้นคุณโทรหาฉันทำไม ?”
“ผมแค่อยากบอกคุณว่า ถ้าครั้งหน้าคุณกล้าโทรหาผมอีก ผมก็จะให้เฉินเป่ยชวนรู้ความลับในโทรศัพท์ของคุณซะ”