น้ำเสียงที่ถูกดัดแปลงมาแล้วมีความประหลาดเป็นอย่างยิ่ง หลินเฟยเอ๋อร์กระส่ายกระสับมองไปรอบด้านทันควัน ครั้นกลับไม่สังเกตเห็นอะไรที่น่าสงสัย หรือว่าตนเองจะคิดมากไป เหตุใดจึงรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นที่อยู่หลังโทรศัพท์กำลังจับจ้องมาที่เธอด้วยระยะทางอันใกล้เช่นนี้
“คุณเป็นใครกันแน่ ? ในเมื่อจะร่วมมือกันก็อย่าทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ตบตาสิ”
เธอเกลียดชังน้ำเสียงที่ถูกดัดแปลงหลังสายโทรศัพท์นั่น และยิ่งไม่ชอบการที่ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยไม่ทราบว่าฝ่ายนั้นที่ตนร่วมมือด้วยเป็นผู้ใดกันแน่
“คุณยังไม่สมควรที่จะรู้ว่าผมเป็นใคร แต่ในฐานะที่เป็นผู้ร่วมมือ ผมขอเตือนคุณไว้ จะดีที่สุดถ้าไม่ใช้สมองอันโง่เขลาของคุณไปทำอะไรโดยพละการ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการไม่ได้ผลประโยชน์แถมยังสูญเสียเพิ่มอีกด้วย”
สิ้นเสียงสุดท้าย โทรศัพท์ก็มีเสียงตู๊ด ๆ ดังขึ้นมา หลินเฟยเอ๋อร์มองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายทิ้ง มือเรียวยาวของเธอจึงทุบเข้าที่พวงมาลัยอย่างแรง
ไอ้เวรนั่น จะต้องมีสักวันที่เธอสืบเจอว่าเป็นผู้ใดแน่นอน ถึงเวลานั้นค่อยจัดการเขาให้สิ้นเรื่อง
หลังจากที่ลัมโบร์กีนีสีแดงขับจากไปแล้ว เฉินจิ้นถงก็ปิดเครื่องโทรศัพท์ทันที นัยน์ตาหลังแว่นตานั้นมีความเฉียบคมพิลึก หวังว่าผู้หญิงโง่เขลาผู้นั้นจะไม่ทำเรื่องที่นอกจากจะไม่ได้ผลประโยชน์แล้ว ยังสูญเสียเพิ่มอีกด้วยขึ้นมาจริง ๆ
ภายในคอนโดของเหยียนสือเซี่ย ในโทรศัพท์กำลังฉายงานประกาศเรื่องงานหมั้นอันคึกโครมของเมืองซั่นเป่ยอยู่ เหยียนสือเซี่ยทำปากมุ่ยอย่างไม่ชอบใจ “ไอ้คนขี้เก๊ก ฉันว่านะมันก็เป็นไอ้พวกตอแหลนั่นแหละ !”
หลังจากที่เอ่ยคำพูดหยาบคาบขึ้นมาแล้ว อยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเด็กน้อยนั่งอยู่ข้าง ๆ ดังนั้นเธอจึงตบปากของตัวเองทันที “จิ่งเหยียนเมื่อกี้แม่ไม่ได้ด่าเขานะคะ……”
“ด่าเขายังน้อยไปด้วยซ้ำ”
เฉียวจิ่งเหยียนชักสีหน้า นัยน์ตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อก่อนเขาดีกับตนและหม่ามี๊ขนาดนั้น สุดท้ายแค่ชั่วพริบตาเดียวก็ไปหมั้นหมายกับผู้หญิงคนอื่นเสียแล้ว คนแบบนี้ควรเฆี่ยนแรง ๆ ถึงจะถูก
“ลูกบุญธรรมของฉันรู้จักความที่สุด”
นิ้วมือของเธอบีบเบา ๆ ไปยังใบหน้าน้อย ๆ อันเนียนนุ่มของเขาด้วยความอดใจไม่ไหว เวลานี้เหยียนสือเซี่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงแม่ของเด็กที่นั่งอยู่โซฟาข้าง ๆ “เฉี่ยนเฉียน สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ”
เฉินเป่ยชวนใช้วิธีเช่นนี้ในการประกาศว่าจะอยู่กับหลินเฟยเอ๋อร์ บัดนี้ภายในหัวใจของเฉี่ยนเฉียนจะต้องทุกข์ทรมานอย่างยิ่งแน่นอน
“ฉันไม่เป็นไร ฉันขอไปพักผ่อนก่อนนะ”
ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย อากาศที่อยู่ข้างในราวกับมีความเย็นยะเยือกเพิ่มขึ้นมา เฉียวชูเฉี่ยนหันหลังพิงประตู ถ้าหากบอกว่าการที่ได้เห็นฉากที่อยู่ในโทรทัศน์เมื่อสักครู่นี้แล้วเธอไม่รู้สึกทุกข์ใจเลยนั้นเป็นคำพูดที่โกหกโดยสิ้นเชิง
ชุดสูทคลาสสิคที่เฉินเป่ยชวนสวมใส่อยู่นั้นราวกับเป็นเข็มที่ทั้งยาวเรียวและคมเฉียบปักลงที่อวัยวะภายในร่างกายของเธออย่างต่อเนื่องไม่หยุด ไม่มีผู้ใดทราบว่าเมื่อแปดปีก่อนเธอและเฉินเป่ยชวนได้จัดงานแต่งงานอันเรียบง่ายที่มีเพียงครอบครัวสองตระกูลเท่านั้น และที่สำคัญชุดที่เขาสวมใส่ก็คือชุดสูทตัวนี้นั่นเอง
ภายในห้องโถงจัดงานชั้น 33 ณ โรงแรมนานาชาติฮั่นไห่ พวกเขาทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากันแล้วสวมแหวนเพชรแต่งงานที่เป็นเครื่องยืนยันความเป็นรักนิรันดร์ให้กันและกัน และเธอก็เอ่ยว่าฉันยินยอมด้วยความสัตย์จริงจากใจที่มีของทั้งชาตินี้ออกมา
แม้แต่เมื่อช่วงเวลาเจ็ดปีที่อยู่อเมริกา ทุกค่ำคืนที่เธอนอนไม่หลับนั้น ก็ยังคิดว่าวันนั้นของเมื่อแปดปีก่อนเป็นวันที่งดงามตลอดไปทั้งชาตินี้และเธอคงไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้
แม้ว่าจะไม่มีแสงไฟจับจ้องและคำอวยพรจากแขกที่นั่งเต็มห้องโถง ครั้นก็ยังคงเป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุด
ครั้นวันนี้เขากลับสวมชุดสูทที่พวกเขาแต่งงานกันไปหมั้นหมาย ช่างเป็นการเชื่อมโยงที่น่าขันระหว่างอดีตและอนาคตเสียจริง
“เฉี่ยนเฉียน อยากดื่มเหล้าไหม ?”
น้ำเสียงอันระมัดระวังของเหยียนสือเซี่ยดังขึ้นมาจากนอกประตู เฉี่ยนเฉียนทุ่มเทความรักให้เฉินเป่ยชวนมานับสิบปี ตั้งสิบปีเชียว ไม่ใช่สิบวันอันสั้น หรือสิบเดือนแต่อย่างใด
เธอกักเก็บน้ำตาเข้าสู่เบื้องลึกของดวงตา พยายามเปล่งเสียงที่ไม่มีความผิดปกติขึ้นมา “ฉันไม่เป็นไร เธอไปทำธุระเธอเถอะ”
“งั้นถ้าเธออยากดื่มเรียกฉันนะ ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนเธอ”
สิ้นเสียง เหยียนสือเซี่ยก็นำขวดเหล้าเก็บกลับคืนตู้ใส่เหล้า เรื่องของความรู้สึกนั้นต่อให้เป็นเพื่อนรักกันก็จนปัญญาที่จะเกลี้ยกล่อมได้ สิ่งที่เธอทำได้ขณะนี้ก็คืออยู่เคียงข้างเธอในทุกช่วงเวลาที่เขาต้องการโดยไม่ต้องถามอันใด ร้องไห้ก็ดี เป็นบ้าก็ช่าง
“แม่ทูนหัวครับ ส่งผมไปเฟิงเฉิงได้ไหมครับ ?” เฉียวจิ่งเหยียนที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยถามขึ้นมาเสียงเบา
“หนูจะไปเฟิงเฉิงทำไมคะ ?”
เมื่อเหยียนสือเซี่ยได้ยินคำว่าเฟิงเฉิงสองพยางค์นี้ก็เลิกคิ้วขึ้นทันควัน “เด็กน้อยเอ๋ย เรื่องในโลกของผู้ใหญ่ซับซ้อนกว่าเด็กน้อยอย่างพวกหนูเยอะเลยนะ หนูทำตัวว่านอนสอนง่ายก็พอไม่ต้องสนอะไรทั้งสิ้น”
“แม่ทูนหัวครับ พาผมไปก็พอ ได้ไหมครับ ? ผมแค่ต้องการความช่วยเหลือแป๊ปเดียวเท่านั้น จะไม่ให้หม่ามี๊รู้เด็ดขาดครับ”
เฉียวจิ่งเยียนเห็นว่าเธอไม่ตอบตกลง จึงใช้ไม้เด็ดอันเฉียบขาดของตนเอง เขย่าแขนพร้อมส่งสายตากลมโตอันน่าสงสารคู่นั้นไปให้เธอ ต่อให้เป็นประติมากรรมน้ำแข็งก็คงถูกสายตานั้นทำให้ละลายได้เช่นกัน
“เอาเถอะ แม่พาหนูไปได้ แต่หนูต้องรับปากแม่มาว่าจะไม่ไปขอร้องไอ้คนชั่วที่ทำให้แม่หนูเสียใจโอเคไหม”
ไม่อย่างนั้นเฉินเป่ยชวนคงคิดว่าเฉี่ยนเฉียนตัดใจจากเขาไม่ลงเป็นแน่
“ตกลงครับ” เฉียวจิ่งเหยียนพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยความดีใจ เขาไม่ไปขอร้องไอ้คนชั่วนั่นหรอก
การพูดคำไหนคำนั้นเป็นนิสัยของเหยียนสือเซี่ยตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เวลาต่อมารถยนต์ขับเคลื่อนเข้ามาจอดในลานจอดรถเบื้องล่างตึกเฟิงเฉิง เจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ กำลังจะเตรียมตัวลงรถ เธอจึงคว้าแขนน้อย ๆ ของเขาเอาไว้ทันที แล้วสอบถามด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความฉงนสงสัย “ยังจำเรื่องที่รับปากแม่ได้หรือเปล่า ?”
“แม่ทูนหัวครับ แม่ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะไม่มีทางลดศักดิ์ศรีของหม่ามี๊ผมแน่นอน รอผมนะครับ ผมจะกลับออกมาในอีกไม่นานหรอก”
หลังจากที่เด็กตัวเล็กแต่หัวใจใหญ่ผู้นี้ได้เอ่ยจบด้วยความสงบนิ่งแล้วนั้น ก็สาวขาที่สั้นป้อมของตนเองเดินเข้าไปยังตึกออฟฟิตใหญ่เฟิงเฉิงทันที
“หนูน้อยมาหาใครคะ ?”
เมื่อพนักงานสาวที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์เห็นเฉียวจิ่งเหยียน สายตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที ช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่หน้าตาหล่อเหลาเสียจริง ไม่รู้ว่าหากโตแล้วจะหล่อเหลาจนถึงขั้นไหน จะต้องเป็นผู้นำที่ทำให้ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งหลงเสน่ห์หัวปักหัวปำเป็นแน่
“ผมมาหาเฉินเป่ยชวนครับ”
เฉียวจิ่งเหยียนเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงอันอาจหาญของเขาทำให้หญิงสาวตะลึงงัน ครั้นเมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้นั้นจึงพบว่าห้ามไว้ไม่ทันเสียแล้ว
เจ้าตัวน้อยเข้าไปในลิฟต์พร้อมเขย่งเท้ากดชั้นที่สูงสุดของตึก เฉินเป่ยชวน ฉันมาแล้ว !
ทันใดนั้นประตูของห้องทำงานก็ถูกผลักเปิดออก เฉินเป่ยชวนเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมื่อสายตาอันเย็นชาที่ทำให้ผู้คนขาอ่อนลงได้นั้นเห็นร่างน้อย ๆ เดินเข้ามาจากประตูก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นลงเล็กน้อย
“ทำไมเป็นเธอ ใครให้เธอมา?”
แม้สีหน้าจะอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ครั้นน้ำเสียงของเขายังคงมีความเย็นชาอยู่เหมือนเดิม คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวเปี๊ยกนี่จะมาที่เฟิงเฉิงผู้เดียวเช่นนี้ ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทางใครจะรับผิดชอบ
“ผมมาเอง เฉินเป่ยชวน เมื่อวานนี้ทั้งที่คุณเห็นหม่ามี๊ผมถูกนักข่าวเหล่านั้นรังแก ทำไมไม่เข้าไปช่วยเหลือเธอ !”
เมื่อเฉินเป่ยชวนเดินอ้อมโต๊ะทำงานมา ก็ถูกขาอันเล็กสั้นที่ดูแข็งกร้าวยืนสกัดไว้เบื้องหน้า พร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้นโดยเลียนแบบน้ำเสียงเมื่อสักครู่นี้ของตน
เมื่อวานนี้หม่ามี๊ไม่เห็น ครั้นตนมองเห็นจากช่องเล็ก ๆ ระหว่างฝูงคน เฉินเป่ยชวนยืนอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ครั้นเขากลับยืนมองหม่ามี๊และตนถูกนักข่าวที่ชั่วร้ายเหล่านั้นล้อมโจมตีด้วยสายตาเย็นชา ครั้นไม่เข้ามาช่วยเหลือพวกเขาให้ออกไปจากบริเวณนั้น
“ที่เธอมาก็เพื่อมาถามเรื่องนี้น่ะเหรอ ?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องหน้าโรงเรียนเมื่อวานนี้ สีหน้าของเฉินเป่ยชวนจึงดูไม่ได้ขึ้นมาโดยปริยาย เมื่อวานนี้ผู้หญิงคนนั้นสวมเขาอันใหญ่ให้เขาต่อหน้าสื่อมวลชนหลักของซั่นเป่ย
“ยังมีเรื่องอื่นอีก คุณคิดดีแล้วใช่ไหมว่าจะแต่งงานกับคนที่ชื่อเฟยอะไรนั่น ?”
เจ้าตัวน้อยเงยหน้าขึ้น แม้ความสูงของทั้งคู่จะแตกต่างกันอยู่มาก รวมถึงมีความตื่นเต้นในใจเล็กน้อย ครั้นบัดนี้เขาไม่ยอมให้ตนเองแสดงท่าทีที่หวาดกลัวออกมาเป็นอันขาด เนื่องจากเขาคือผู้ชายคนเดียวที่อยู่เคียงข้างหม่ามี๊ เขาจะต้องปกป้องหม่ามี๊
เฉินเป่ยชวนลุกขึ้นยืน มุมริมฝีปากผุดรอยยิ้มอันเย็นชาขึ้นมา “ฉันจะแต่งงานกับใครไม่จำเป็นต้องให้พวกเธอมายินยอม”