คณะกรรมการสัมภาษณ์ทั้งสามท่านเปลี่ยนสายตาใหม่หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเธอ “คุณเฉียว ยังไงคุณรอประกาศก็แล้วกันนะครับ”
“ค่ะ”
เมื่อเทียบกับเวลาที่สัมภาษณ์ของผู้อื่นแล้วนั้น เธอตกอยู่ในข้อเสียเปรียบอย่างชัดเจน ครั้นกลับทำได้เพียงลุกขึ้นยืนอย่างสำรวมแล้วเดินออกไป
“ทำไมถึงออกมาเร็วแบบนี้ล่ะ ? ฉันคิดว่าหล่อนน่าจะเป็นบ้าไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมาสัมภาษณ์งานที่ Q&C ได้ยังไง ? ถ้าฉันเป็นบอสนะคงไม่สับสนรับหล่อนเข้าทำงานหรอก”
เมื่อเดินออกจากตึกออฟฟิศใหญ่ บรรดาผู้หญิงที่ออกมาก่อนหน้าเธอก็ได้ถกเถียงพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักกันขึ้นมา เมื่อไม่ต้องอยู่ในสถานที่สัมภาษณ์ที่ต้องสำรวมแล้วนั้น น้ำเสียงจึงเปล่งขึ้นเสียงดังกว่าเดิมเท่าตัว
“พวกเธออย่าว่าคนเขาอย่างนี้สิ ถูกผู้ชายทิ้งไล่ออกจากบ้าน เป็นกุลสตรีที่สิ้นเนื้อประดาตัวเหมือนเรา ก็ต้องกินข้าวกันทั้งนั้นแหละ”
ผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งหน้าสวยงามยิ้มอย่างสง่าผ่าเผยขึ้นมา ครั้นภายในน้ำเสียงล้วนเป็นคำเหน็บแนมอันแหลมคม
“คุณว่าใครถูกผู้ชายทิ้ง !”
ทันใดนั้นเองเจ้าตัวน้อยก็พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง ใบหน้าเล็ก ๆ แสดงถึงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาขอร้องให้แม่ทูนหัวพาเขามารอหม่ามี๊ออกมาหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ ครั้นคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินผู้หญิงกลุ่มนี้ถกเถียงรังแกหม่ามี๊ของเขา
ดวงตาที่กรีดอายไลเนอร์อย่างเซ็กซี่ของหญิงสาวมองสำรวจร่างน้อย ๆ ของเฉียวจิ่งหยวน “นี่คงไม่ใช่ลูกที่แอบไปมีกับคนอื่นหรอกใช่ไหม ?”
“อย่าบอกนะว่าเอาของปลอมมาโมเมว่าเป็นของจริงน่ะ หรือว่าคิดอยากจะใช้เด็กเพื่อปกป้องตำแหน่งคุณนายเฉินของตัวเองเอาไว้ แต่ตอนนี้เทคโนโลยีพัฒนาแล้วนะ แค่เอาเส้นผมมาตรวจดูก็รู้แล้วว่าเป็นลูกของตัวเองหรือเปล่า การที่ใช้เด็กเถื่อนจากข้างนอกมาหลอกลวง……”
ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็ถูกตบเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง
บรรดาผู้หญิงที่ถกเถียงด้วยกันอยู่รอบข้างต่างก็มองเฉียวชูเฉี่ยนที่อยู่ ๆ ก็ตบหน้าหญิงสาวผู้นั้นด้วยสีหน้าตกอกตกใจ ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะลงไม้ลงมือตบหน้าผู้อื่นเช่นนี้
“แกกล้าตบฉันงั้นเหรอ ?”
ผู้หญิงที่ถูกตบเอามืออังใบหน้าที่แดงก่ำเอาไว้ ขณะเดียวกันที่เธอคาดไม่ถึงนั้นก็มีความโมโหเนื่องจากขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย ผู้หญิงที่ถูกไล่ออกจากบ้านกล้าตบหน้าตนเชียวหรือ
“ตบเธอแล้วจะทำไม ปากมีไว้พูดคำพูดของคนนะ ถ้าพูดไม่เพราะเท่ากับเสียงเห่าของหมาจรจัดแบบนี้ แน่นอนว่าควรถูกตบน่ะสิ”
นัยน์ตาของเฉียวชูเฉี่ยนผุดความเย็นชาขึ้นมา เธอรับได้ที่คนขี้เสือกเรื่องชาวบ้านมาพูดว่าเธอสารพัด แต่เธอยอมไม่ได้ที่จะให้ใครหน้าไหนก็ตามมาว่าลูกของเธอ ยิ่งไม่ยอมให้พวกเขาใช้คำพูดที่ไม่ไพเราะมาพูดถึงจิ่งเหยียนด้วย
“แกว่าใครพูดไม่เพราะเท่าเสียงเห่าหมาจรจัดยะ !”
เมื่อสักครู่ที่ขายหน้าต่อหน้าผู้คน หญิงสาวต้องการที่จะกู้หน้าของตนเองกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ครั้นเฉียวชูเฉี่ยนกลับไม่ให้โอกาสเธอเลยแม้แต่น้อย
“หรือว่าเธอคิดว่าเธอพูดเพราะเหมือนกับเสียงเห่าหมาจรจัดงั้นเหรอ ?”
ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบ ๆ ได้ยินดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา เธอจึงเอ่ยต่อไป “และก็เมื่อกี้มีบางประโยคที่เธอพูดผิดไปนะ ฉันไม่ได้ถูกไล่ออกจากบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันไม่ได้สิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อเทียบกับเธอที่พูดแบบคนไม่เป็นแล้ว ฉันน่ะมีสติปัญญา มีบุคลิกภาพและมีศักดิ์ศรี ทำเรื่องที่คนเขาทำกัน พูดคำพูดที่คนเขาพูดกันมากกว่าเธอซะอีก”
“และก็ ถ้าครั้งหน้าฉันได้ยินเธอพูดจาไม่รู้จักภาษาคนเหมือนหมาจรจัดอีกล่ะก็ เธออาจจะต้องคุ้นชินกับการใช้ชีวิตโดยถูกคนอื่นตบหน้าไปแล้วนะ”
เฉียวชูเฉี่ยนเอ่ยจบ จึงขึงตาอันแหลมคมให้หญิงสาวผู้นั้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จิ่งเหยียน พวกเราไปกันเถอะ”
มือใหญ่จูงมือเล็กขึ้นไปยังรถยนต์ที่จอดเทียบอยู่ข้าง ๆ เหยียนสือเซี่ยอดไม่ได้ที่จะตบมือให้ “ในที่สุดเฉียวชูเฉี่ยนที่ฉันรู้จักก็ฟื้นคืนชีพสักที”
น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นมาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจ เธอและเฉี่ยนเฉียนนั้นรู้จักกันมาก็สิบกว่าปีแล้ว เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่พวกเธอรู้จักกันวันแรก มีครั้งหนึ่งตนถูกเพื่อนในห้องที่หน้าตาขี้เหร่รวมหัวกันรังแกเวลานั้นเธอก็ตบเข้าไปที่ใบหน้าของฝ่ายนั้นอย่างแรงเช่นเดียวกัน จากนั้นก็จูงมือตนเดินออกมาจากวงล้อมที่ถูกรังแกทันที
หลังจากนั้นตนเองก็ทราบว่าเฉี่ยนเฉียนเป็นทายาทเศรษฐีผู้ร่ำรวย แถมยังมักจะพูดล้อเล่นกับเธอบ่อย ๆ ว่าเธอไม่มีท่าทางของลูกเศรษฐีเลยแม้แต่น้อย ครั้นคำพูดที่เธอเอ่ยกลับมานั้นมันทำให้ตนจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ เธอบอกกับตนว่า เธอไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายคนที่เธออยากปกป้องเด็ดขาด
“วันหลังอย่าพาจิ่งเหยียนเดินเล่นไปทั่วอีกนะ”
แม้ปากจะเอ่ยตำหนิติเตียน ครั้นมุมริมฝีปากกลับอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเผยรอยยิ้มออกมา ตบเมื่อสักครู่นี้อย่างน้อยก็มีการระบายอารมณ์อยู่ในนั้นด้วย
“ก็เป็นเพราะเขางอแงอยากให้ฉันพาเขามารับเธอให้ได้น่ะสิ สัมภาษณ์เป็นยังไงบ้าง ผ่านหรือเปล่า ?”
บนใบหน้าของเหยียนสือเซี่ยมีความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นมา ถ้าหากผ่านสัมภาษณ์ผ่าน เช่นนั้นสถานการณ์อันสุดแสนจะแย่ของเฉี่ยนเฉียนในตอนนี้ก็จะได้มีความเปลี่ยนแปลงเสียที
“ให้เบื้องบนลิขิตก็แล้วกัน”
ความพยายามที่เธอควรจะทำนั้นได้ทำหมดแล้ว ถ้าหาก Q&C ไม่รับเธอเข้าทำงาน คงทำได้เพียงคิดคิดวิธีอื่นเท่านั้นแล้ว
ภายในห้องทำงานท่านประธานบริษัทเฟิงเฉิน เฉินเป่ยชวนหยิบเอกสารรับสมัครงานไว้ในมือ บนใบหน้าอันเย็นชานั้นมองไม่ออกถึงอารมณ์เท่าไรนัก
“เจ้านายครับ เราควรจัดการยังไงเหรอครับ ?”
ผู้ชายที่ยืนอย่างสุภาพอยู่ข้าง ๆ นั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกล เป็นคณะกรรมการสัมภาษณ์งานเฉียวชูเฉี่ยนที่ Q&C เมื่อสักครู่นี้เอง
“คุณคิดว่าไงล่ะ ?”
เฉินเป่ยชวนเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาอันลึกลับนั้นมองไม่ออกว่าเวลานี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้ามองจากการศึกษาจะความสามารถของตัวเธอ เธอเหมาะสำหรับงานตำแหน่งนี้มาก” ก็แค่สถานะของเธอทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
“เวลาผมใช้งานคนอื่นก็จะให้ความสำคัญกับความสามารถเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของผม”
เฉินเป่ยชวนกล่าวเสร็จก็ยื่นเอกสารสมัครงานในมือกลับคืนให้เขา บนใบหน้าที่แน่นิ่งนั้นเต็มไปด้วยรังสีของผู้ที่สูงกว่า ผู้ชายเห็นดังนั้นจึงรีบพยักหน้าทันควัน “เจ้านาย พวกเราทราบว่าควรทำยังไงแล้วครับ”
หลังจากที่ชายผู้รับผิดชอบสัมภาษณ์งานออกไปแล้ว สันคิ้วของเฉินเป่ยชวนจึงขมวดขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นจะไปสัมภาษณ์งานที่ Q&C
เฉียวชูเฉี่ยน ฉันจะเล่นเกมนี้เป็นเพื่อนเธออย่างดีเอง
สองวันต่อมาเฉียวชูเฉี่ยนได้รับอีเมลจาก Q&C และเมื่อเห็นเนื้อหาในนั้นแล้วตัวเธอเองก็ต้องตกตะลึงทันที คิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกรับเข้าทำงานแล้ว
“เธอดูอะไรอยู่เหรอ ?”
เหยียนสือเซี่ยเป็นห่วงว่าเธอกำลังดูข่าวสาระบันเทิงใหม่ล่าสุดอยู่ จึงได้ชะโงกหน้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง ครั้นขณะที่ดวงตาคู่นั้นของเธอเห็นเนื้อหน้าบนจอคอมพิวเตอร์แล้วนั้น ก็ต้องร้องกรี๊ดขึ้นมาอย่างดีใจทันที
“เฉี่ยนเฉียน เธอถูกรับเข้าทำงานแล้ว !”
สองวันมานี้เธอเอาแต่ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าควรปลอบใจหัวใจดวงน้อย ๆ ของเฉี่ยนเฉียนหลังจากถูกปฏิเสธเช่นไรดีอยู่เลย ครั้นคิดไม่ถึงว่าเธอจะถูกรับเข้าทำงานแล้ว
“เริ่มงานวันพรุ่งนี้เลย”
แม้ว่าเฉียวชูเฉี่ยนจะดีใจเช่นกัน ครั้นรอยยิ้มของเธอกลับไม่ได้เผยออกมาทั้งหมด การที่ Q&C รับเธอเข้าทำงานนั้นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อก็จริง ครั้นเมื่อรวมกับความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเป็นเฉินเป่ยชวน การที่เธอถูกรับเข้าทำงานมันกลับคล้ายเป็นการเริ่มต้นเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเธอกลับไม่อยากเอ่ยว่า NO สำหรับเรื่องนี้แต่อย่างใด มีเพียงการเข้าทำงานที่ Q&C เท่านั้นจึงจะสามารถขุดค้นความจริงของเรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนได้ เธอไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้โดยสิ้นเชิง
“ถ้างั้นเย็นนี้เราออกไปฉลองกันหน่อยดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง !”
ไฟสองข้างส่องสว่าง ผู้ใหญ่สองเด็กเล็กหนึ่งกำลังนั่งดื่มด่ำกับมื้อเย็นที่มีรสชาติอันโอชาบนภัตตาคารหมุนที่อยู่สูงที่สุดของเมืองซั่นเป่ย
“แม่ทูนหัวครับวันนี้เป็นวันอะไรเหรอ ทำไมถึงเลี้ยงเรากินมื้อใหญ่ครับ ?” เฉียวจิ่งเหยียนรับประทานไอศกรีมที่อยู่เบื้องหน้าไปพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หนูเดาดูสิคะ ?”
“แม่ทูนหัวมีแฟนแล้วเหรอครับ”
เจ้าตัวน้อยเดาอย่างจริงจัง หลายวันมานี้โทรศัพท์ของแม่ทูนหัวดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด อีกทั้งยังถือดอกไม้กลับบ้านมาทุกวันอีกด้วย ถ้าหากไม่เป็นเพราะมีแฟนแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก
เมื่อได้ยินคำว่าแฟน เหยียนสือเซี่ยเกือบจะกัดลิ้นของตนเอง เธอมีแฟนตั้งแต่เมื่อไรกัน ครั้นเวลาต่อมาก็นึกถึงใบหน้าหนึ่งขึ้นมา ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขากำลังมีสัญญาการเป็นคู่รักกันร้อยวันอยู่ อีกทั้งตอนนี้เธอก็กำลังอยู่ในช่วงสัญญาด้วย
“เจ้าตัวเปี๊ยกอย่าพูดซี้ซั้วนะ หม่ามี๊ผ่านสัมภาษณ์แล้ว พวกเรากำลังฉลองให้เธอกันอยู่”
“หม่ามี๊ถูกรับเข้าทำงานแล้วเหรอครับ ?”
เมื่อเจ้าตัวน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบจับมือของเฉียวชูเฉี่ยนไว้ บนใบหน้าปรากฎความดีใจและความตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน
“ใช่แล้วจ้ะ ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะเลี้ยงเจ้าแมวกินจุอย่างหนูได้ยังไงไหวคะ”