เธอยื่นมือไปปาดไอศกรีมบนมุมริมฝีปากน้อย ๆ ของเขาออก เมื่อเจ็ดปีก่อนเธอสามารถเลือกที่จะหลบหนีได้สบาย ๆ ครั้นตอนนี้เธอจะต้องสืบสาวเรื่องการเสียชีวิตของพ่อแม่เธอให้กระจ่างแจ้ง และเธอต้องดูแลเลี้ยงดูส่งเสียค่าเล่าเรียนของจิ่งเหยียนด้วย จึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปโดยไร้ทางเดินกลับ
“หม่ามี๊ครับ จิ่งเหยียนรักหม่ามี๊ที่สุดเลย”
เจ้าตัวน้อยมุดเข้าไปยังอ้อมกอดของเธอด้วยความออดอ้อนทันที สองแม่ลูกโอบกอดกัน ภาพอันอบอุ่นนี้ทำให้เหยียนสือเซี่ยเห็นแล้วอยากร้องไห้ออกมาทันที เธอไม่อยากแต่งงาน ครั้นกลับมีความคิดอยากมีลูกผุดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ต่อให้มีวันหนึ่งที่ทั้งโลกเป็นปฏิปักษ์กับเธอ ก็ยังมีคนใกล้ชิดที่เลือดเข้มกว่าน้ำยืนอยู่เคียงข้างเธอ
“ใครบอกนะว่าตัวเองจะเป็นลูกผู้ชายที่คอยปกป้องหม่ามี๊ ? มา พวกเราชนแก้วกันหน่อย”
เหยียนสือเซี่ยรินเครื่องดื่มให้เต็มแก้ว จากนั้นก็ชูแก้วขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม หวังว่าไอ้คนสารเลวเฉินเป่ยชวนจะหายไปจากโลกของเฉี่ยนเฉียนตลอดไป
แก้วกระทบเข้าด้วยกัน มีเสียงใส ๆ ดังขึ้นกิ๊ก ขณะเดียวกันก็มีชายหญิงที่สวมชุดทำงานเข้ามานั่งข้าง ๆ
“ช่วงวันสองวันนี้ยุ่งจะตายอยู่แล้ว ในที่สุดวันนี้ก็จะได้กินมื้อดี ๆ ชดเชยสักที”
“นั่นน่ะสิ คิดไม่ถึงเลยนะหลินเฟยเอ๋อร์ที่ปกติแล้วให้สัมภาษณ์อย่างว่าง่าย แต่ความจริงแล้วกลับเอาแต่ใจมาก พวกเธอคงไม่รู้ว่าชุดแต่งงานฉันเปลี่ยนมาหลายรอบมาก แต่ทุกครั้งก็จะถูกจับผิดตลอด อันนี้ไม่พอใจ อันนั้นก็ไม่พอใจ ทำให้ฉันต้องทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นทุกวันแหนะ”
“เอาล่ะ เลิกบ่นได้แล้ว ฉันเองก็ไม่สบายเหมือนกัน ทุกวันฉันต้องแต่งหน้าให้หล่อน แต่ว่าพวกเธอเดาซิว่านางหล่อนพูดว่าอะไร ไม่สามารถเผยความงามของคุณเธอออกมาได้”
“ใครใช้ให้นางเป็นดาราสาวที่จะแต่งงานเข้าบ้านเศรษฐีกันล่ะ ความสูงส่งของหล่อนเพิ่มขึ้นไม่น้อย แน่นอนว่าต้องโอ้อวดหน่อยถึงจะถูกต้องสิ ฉันได้ยินมาว่าสถานที่จัดงานแต่งอยู่ที่ชั้น 33 โรงแรมนานาชาติฮั่นไห่”
“สถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ท่านประธานเฉินแต่งงานครั้งที่แล้วไม่ใช่เหรอ ?”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะงั้นแล้วหลินเฟยเอ๋อร์คนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ”
เลือกสถานที่จัดงานแต่งงานเดียวกับภรรยาคนก่อน นี่เป็นการวัดกันให้รู้ดำรู้แดงเลยนี่
เฉียวชูเฉี่ยนนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ เมื่อได้ยินว่าชั้น 33 โรงแรมนานาชาติฮั่นไห่ ไม่ยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมา เธอบอกตัวเองว่านั่นมันเป็นแค่สถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น ตราบใดที่มีเงินก็สามารถจัดงานต่าง ๆ ได้ที่นั่น ครั้นภายในใจกลับมีน้ำเสียงหนึ่งถามขึ้นตลอดว่า เฉินเป่ยชวน ทำไมคุณถึงแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นในสถานที่ที่แต่งงานกับฉันได้ ?
“เฉี่ยนเฉียน เธอโอเคหรือเปล่า ?”
เหยียนสือเซี่ยเองก็ได้ยินเสียงบทสนทนาจากโต๊ะด้านหลังเช่นเดียวกัน ภายในใจรู้สึกอึดอัดอย่างถึงที่สุด เธอเลือกไปเลือกมาสุดท้ายก็เลือกภัตตาคารหมุนแห่งนี้ ก็เพียงแค่ต้องการที่จะฉลองอย่างมีความสุขให้เธอเนื่องจากได้งานใหม่เท่านั้น ครั้นคิดไม่ถึงว่าจะมาได้ยินข่าวคราวของเฉินเป่ยชวนที่นี่อีก
“ฉันไม่เป็นไร”
ริมฝีปากที่ซีดเซียวเล็กน้อยผุดรอยยิ้มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหลินเฟยเอ๋อร์ที่จงใจเลือกโรงแรมนานาชาติฮั่นไห่เอง หรือว่าเป็นคำสั่งจากเฉินเป่ยชวนก็ตาม เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเธอแล้ว
“หม่ามี๊ครับ โรงแรมนานาชาติฮั่นไห่รับพัสดุได้ไหมครับ ?”
เฉียวจิ่งเหยียนขมวดคิ้วเล็ก ๆ ของตนเองพร้อมถามขึ้นอย่างจริงจัง ถ้าหากรับพัสดุได้ เช่นนั้นเขาก็จะนำเงินที่ได้จากอั่งเปาวันตรุษจีนหลายปีที่ผ่านมาซื้อใบมีดส่งไปจนเกลี้ยง
“รีบทานข้าวกันเถอะ”
เธอลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารที่อยู่เบื้องหน้าต่อ ครั้นอาหารที่เดิมทีควรค่าแก่การชื่นชมราวกับสูญเสียรสชาติที่มีอยู่ไปชั่วพริบตาเดียว
ค่ำคืนอันแสนยาวนาน เธอใช้เวลาครึ่งหนึ่งในการทำเรื่องที่โง่เขลาที่สุดนั่นก็คือ นอนไม่หลับ
เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วมองเห็นดวงตาคู่นั้นที่บวมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดผ่านกระจก เธอก็ยิ่งหดหู่ใจมากกว่าเดิม ทั้งที่รู้ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทำงาน ครั้นคิดไม่ถึงว่าจะนอนไม่หลับครึ่งหนึ่งของค่ำคืนเนื่องจากบทสนทนาเหล่านั้นที่ภัตตาคาร
“ทำไมวันนี้แต่งหน้าจัดขนาดนี้ล่ะ ?”
ภายในห้องอาหาร เหยียนสือเซี่ยจัดเตรียมอาหารเช้าที่ฝืนรับประทานได้ ขณะที่เธอเห็นเฉียวชูเฉี่ยนเดินออกมาจากห้องนอน ภายในดวงตาก็มีความประหลาดใจผุดขึ้นมาทันที
ปกติแล้วเธอเป็นคนที่เกลียดการแต่งหน้าจัดที่สุด
“ฉันคิดว่าบอสคนใหม่ของฉันบางทีอาจชอบสไตล์แบบนี้น่ะ”
เธอใช้มาสคาร่าปัดขนตาอันเรียวยาวให้ดิ่งลงเล็กน้อยโดยเฉพาะ เพื่อกลบความแดงก่ำบริเวณหางตาอย่างสมบูรณ์แบบ สีหน้าอันหม่นหมองนี้ประกอบกับดวงตาอันบวมเต่งมีเส้นเลือดผุดขึ้น เมื่อคิดไปคิดมา ก็คิดว่ามีเพียงการแต่งหน้าจัดเท่านั้นที่จะสามารถปกปิดไว้ได้
“ถ้าบอสเธอลวนลามเธอบอกฉันมานะ ฉันจะช่วยเธอหาทนายฟ้องร้องเขาเอง”
เหยียนสือเซี่ยถือส้อมอยู่ในมือ ท่าทางอันน่าขำนี้ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
“เห็นเธอยิ้มได้ อย่างน้อยฉันก็สบายใจแล้ว สู้ ๆ นะ !”
เมื่อเห็นไข่ทอดที่ดำปี๋สองเท่าที่ถูกเสิร์ฟเข้ามาในชามของตนเอง เธอทำได้เพียงพยายามรับประทานอาหารเช้าอันแสนมืดมนที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นลงกระเพาะเท่านั้น
ณ Q&C
“เลขาเฉียว นี่คือห้องทำงานของคุณ จากนี้ไปถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามฉันได้ ฉันหวังว่าคุณจะตั้งใจทำงานโดยไม่เอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องนะ”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเอ่ยตักเตือนขึ้นมา คดีการหย่าร้างของตนเอง อย่างน้อยก็มีส่วนที่น่าอับอายอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรับปากเหยียนสือเซี่ยในการให้โอกาสสัมภาษณ์งานกับผู้หญิงคนนี้ เดิมคิดว่าแค่รับปากผ่าน ๆ ไปเท่านั้น ครั้นคิดไม่ถึงว่าเธอจะผ่านการสัมภาษณ์ของบริษัทจริง ๆ
“ขอบคุณผู้จัดการจางที่ช่วยเหลือฉันในเมื่อก่อนด้วยนะคะ ฉันจะตั้งใจทำงานค่ะ”
หลังจากที่เอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพเสร็จแล้ว เธอจึงเริ่มมองสำรวจห้องทำงานใหม่ของตนเอง แม้เมื่อเปรียบเทียบกับห้องทำงานที่ MR ของเฉินเป่ยชวนแล้วจะด้อยกว่าเล็กน้อย ครั้นตราบใดที่เป็นสถานที่ในตึกใหญ่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอันคุ้นเคย
ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่เธอมาบ่อย ๆ ตอนวัยเด็ก คุ้นเคยจนเข้ากระดูก ครั้นปัจจุบันนี้กลับต้องใช้อีกสถานะหนึ่งในการปรากฎตัวมาที่นี่
“คุณพ่อคุณแม่คะ หนูจะพยายามเอาเฉียวกรุ๊ปกลับคืนมาให้ได้ค่ะ”
“เลขาเฉียว ตอนนี้คุณยุ่งอยู่หรือเปล่า ?”
หวังลี่ในห้องเลขาเดินเข้ามา พร้อมด้วยสีหน้าที่กระวนกระวาย
“ฉันยังไม่ได้ถูกแบ่งงานเลยค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ ?”
เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มพร้อมเอ่ยสอบถามขึ้นทันที ในเมื่อต้องการที่จะสืบเรื่องเฉียวกรุ๊ปเมื่อเจ็ดปีก่อน เธอจำเป็นต้องมีช่องทางความสัมพันธ์เป็นของตนเองถึงจะถูกต้อง
“ถ้างั้นคุณช่วยฉันอย่างได้ไหมคะ ฉันจะไปงานเลี้ยงกับบอสอยู่แล้ว แต่ว่าฉันยังมีสัญญาที่เร่งด่วนสำคัญฉบับหนึ่งยังไม่ได้เซ็น บอสทางนั้นให้เวลาฉันแค่ครึ่งชั่วโมงต้องไปให้ถึง ฉันไม่ทันเวลาแล้ว”
“ความหมายของคุณคือให้ฉันช่วยเอาไปให้เขาเซ็นให้หน่อยใช่ไหมคะ ?”
เมื่อเข้าใจความหมายของหวังลี่แล้ว จึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแค่วันนี้เป็นวันแรกที่เธอรายงานตัว การที่ฝากฝังเรื่องสัญญาและลูกค้าที่สำคัญเช่นนี้ให้เธอไปจัดการมีความเสี่ยงมากเกินไปหรือไม่
“ฉันรู้ว่าคำขอร้องอย่างนี้ทำให้คุณลำบากใจ แต่ว่าคนในห้องเลขาออกไปกันหมดแล้ว ฉันหาคนอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ เลขาเฉียวคุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม ช่วยฉันไปหาบอสทางนั้นแล้วให้เขาเซ็นชื่อให้หน่อย ?”
ใบหน้าของหวังลี่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนจนปัญญาที่จะปฏิเสธ จึงทำได้เพียงตอบรับภารกิจนี้มา “ยกให้เป็นหน้าที่ฉันก็แล้วกัน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
เธอจะได้ถือโอกาสทำความเคยชินกับลูกค้าของ Q&C ไปด้วยเสียเลย
“ถ้างั้นก็เยี่ยมไปเลย ฉันจะหยิบเอกสารมาให้คุณเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
อีกไม่นาน ซองเอกสารหนังวัวก็เข้ามาอยู่ในมือของเธอเป็นที่เรียบร้อย “เลขาเฉียว คนขับรถรอคุณอยู่ข้างล่างแล้ว รบกวนคุณด้วยนะคะ ครึ่งชั่วโมงน่าจะถึงทันเวลา”
“สถานที่ล่ะคะ ?”
“คนขับรถรู้ค่ะ เขาจะพาคุณไปเอง”
เมื่อเห็นหวังลี่ที่เดินสาวเท้ารัว ๆ จากไป คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ครั้นยังคงเดินลงชั้นล่างไปด้วยความรวดเร็ว มีคนขับรถมารอเธออยู่หน้าประตูอย่างที่ว่าจริง ๆ
“สวัสดีค่ะ ฉันคือเฉียวชูเฉี่ยน เลขาหวังให้ฉันเอาเอกสารไปเซ็นชื่อแทนค่ะ เธอบอกว่าคุณทราบสถานที่ใช่ไหมคะ ?”
“ผมทราบครับ”
สิ้นเสียง คนขับรถก็สตาร์ทรถแล้วขับบึ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมา ไม่รู้ว่าเหตุใดขณะที่เธอลงมาชั้นล่างนั้นตาของเธอจึงได้กระตุกข้างซ้ายอยู่ตลอดเช่นนี้