เธอกำนิ้วมือของตัวเองเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยืดตัวตรงเดินเข้าไป
“คุณผู้หญิงมีนัดหรือเปล่าคะ?”
“ฉันมาพบเฉินเป่ยชวนค่ะ”
พอถูกพนักงานหญิงที่อยู่ส่วนต้อนรับหยุดไว้ เธอก็พูดด้วยความอายจนอยากจะมุดลงดินไป
ทั่วเมืองซั่นเป่ยต่างรู้ว่าพวกเขาหย่ากันแล้ว แล้วยังรู้ด้วยว่าเฉินเป่ยชวนและหลินเฟยเอ๋อร์กำลังจะแต่งงานกันในอีกสองถึงสามวันข้างหน้า แต่เธอคนที่ควรจะหลบไปไกลๆ กลับมาหาอดีตสามีตัวเองที่โรงแรมในเวลาที่คลุมเครือเช่นนี้
หากถูกกระจายข่าวออกไปเธอคงรู้สึกเหลือเชื่อมาก
“คุณเฉียว ประธานเฉินรอคุณอยู่ที่ห้อง Presidential Suite เลขที่ 1818 ชั้นบนสุด นี่คือคีย์การ์ดค่ะ”
ในมือเธอมีคีย์การ์ดปั๊มทองเคมาเพิ่มอีกหนึ่งใบ จากนั้นเฉียวชูเฉี่ยนจึงได้แต่ก้าวเท้ายาวๆ เข้าลิฟต์ไปโดยเร็ว แม้เธอจะให้กำลังใจตัวเองไม่หยุดตั้งแต่คุยโทรศัพท์แล้ว แต่พอใกล้จะถึงเวลาจริงๆ เธอยังคิดที่จะก้าวถอยหลังแล้วหลบหนีไปอยู่ดี
ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เธอบีบคีย์การ์ดในมือแล้วสอยเท้าสั้นๆ ไปหยุดอยู่หน้าห้อง 1818 สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถึงจะหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตูเดินเข้าไป
เฉินเป่ยชวนน่าจะมาถึงตอนดึกๆ เพื่อปล่อยให้เธอรอจนทนไม่ได้กระมัง
แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ ไฟในห้องพักที่เปิดสว่างอยู่ กับเฉินเป่ยชวนที่มีสีหน้าเกียจคร้านกำลังยืนสูบซิการ์อยู่ข้างเตียง ตามพื้นที่อยู่ด้านข้างมีเสื้อผ้าถูกโยนทิ้งไปทั่ว
ทั้งบนเตียงนอนใหญ่ที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนจะมีคนนอนมาก่อนแล้วอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีร่องรอยการกลิ้งไปมาอย่างดุเดือดอีกด้วย
เธอเก็บกดความเจ็บปวดไว้ในใจ คิดจะก้าวถอยหลัง แต่สายตาของชายหนุ่มที่ยืนริมหน้าต่างกลับล็อคตัวเธอเอาไว้ราวกับเป็นสัตว์ที่กำลังถูกไล่ล่า
“ดีมาก ยังมีจรรยาบรรณในวิชาชีพที่ควรมีอยู่ด้วย”
คำพูดถากถางที่ปล่อยออกมาทำให้เฉียวชูเฉี่ยนหน้าซีด จะรีบทำให้เธอต้องขายหน้าเร็วไปแล้ว ให้เวลาค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเสียหน่อยก็ไม่ได้
“เรื่องของลู่กรุ๊ป คุณต้องการให้ทำอย่างไรถึงจะยอมปล่อยมือคะ?”
นิ้วมือหดเกร็งอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อก้าวเท้าแรกออกมาแล้วก็จะไม่ยอมให้ตัวเองถอยหลังกลับอีกต่อไป
“งั้นก็ต้องดูว่าเธอยอมทุ่มเทเพื่อลู่ฉีได้แค่ไหน”
เฉินเป่ยชวนเดินจากริมหน้าต่างเข้ามาหา ชุดนอนผ้าไหมแท้บนตัวราวกับถูกย้อมด้วยสีดำดั่งคืนที่เหน็บหนาวและเงียบเหงาจากภายนอก ทั้งเข้มข้นและอันตราย
“คุณคิดจะให้ฉันทำอะไรค่ะ?”
นิ้วมือแทบจะพันกัน เธอกัดฟันจนกล้ามเนื้อที่ฟันเจ็บไปหมดแล้ว ถึงจะบังคับตัวเองไม่ให้ถูกแรงกดดันที่เขาปล่อยออกมาทำให้เซถอยไปด้านหลัง แต่หัวใจที่เต้นแรงมาก่อนหน้านี้เริ่มจะเต้นรัวจนบังคับไม่อยู่เสียแล้ว
เธอถึงขั้นไม่รู้ถึงความอับอายขั้นสูงสุดว่ามันเป็นอย่างไร เธอรักเฉินเป่ยชวนมาสิบปีแล้ว แต่กลับมองผู้ชายคนนี้ไม่ออกเลย
“ถอดเสื้อผ้าแล้วนอนลงซะ”
เสียงที่เย่อหยิ่งและเย็นชาดังขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้เธอแทบจับอารมณ์เขาไม่ออกแม้แต่นิดเดียว ดูราวกับเป็นคำสั่งง่ายๆ แค่นั้น
เฉียวชูเฉี่ยนเงยหน้าขึ้น ตอนที่เฉินเป่ยชวนเอ่ยชื่อโรงแรมหวงจยาออกมาเธอก็พอจะนึกออกแล้วว่าเขาจะสร้างความอับอายให้ตัวเองอย่างไร แต่ไม่คิดว่าเขาจะทำเกินจากสิ่งที่ตัวเองจิตนาการเอาไว้มากนัก
ที่นี่เพิ่งผ่านฉากที่ร้อนแรงไปหมาดๆ ไม่ว่าจะเป็นหลินเฟยเอ๋อร์ก็ดี หรือผู้หญิงแปลกหน้าก็ตาม แค่เธอมองเตียงนี้เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียนไปหมดแล้ว อย่าพูดถึงจะเธอนอนลงไปเลย
“ผมไม่ชอบเอาเวลามาทิ้งไว้กับเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ คุณเลือกได้ว่าจะปล่อยให้ลู่กรุ๊ปเจ๊งแล้วปิดตัวลง หรือจะให้ผมปล่อยตัวลู่ฉีไป”
เฉินเป่ยชวนอาศัยช่วงตัวที่สูงกว่าชายตามองลงมาที่ตัวเธออย่างโอหัง ริมฝีปากบางๆ ที่เย็นชาและเหี้ยมโหดวาดโค้งขึ้นทำให้ใจเธอราวกับถูกฉีกให้เป็นแผลบาดลึก
“คุณไม่กลัวว่าที่ภรรยาจะเสียใจหรือคะ?”
เฉียวชูเฉี่ยนไม่รู้ว่าทำไมตัวเองยังไปคิดถึงความรู้สึกของหลินเฟยเอ๋อร์ขึ้นมาได้ บางทีเธออาจจะต้องการหาเหตุผลที่สองมาหยุดเฉินเป่ยชวนก็ว่าได้
เสียงหัวเราะเยาะที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดและอันตรายดังก้องไปทั่วห้องกว้าง “คุณไม่ต้องกังวลแทนเขาไปหรอก ผมไม่ได้มีความรักนอกสมรสเสียหน่อย ก็แค่นอนกับผู้หญิงง่ายๆ ที่ใช้เงินมาแลกผลประโยชน์ทางการค้าร่วมกันก็เท่ากัน มีอะไรให้ต้องเสียใจกันล่ะ”
“หรือคุณคิดว่าคุณนอนบนเตียงนี้แล้วจะส่งผลต่อเรื่องการแต่งงานระหว่างผมกับเขาได้?”
เขาบีบคางเฉียวชูเฉี่ยนให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่แทบจะไม่มีสีเลือดอยู่แล้วถูกบังคับให้สบตากับเขา เขาเปรียบตัวเธอเป็นหญิงสาวที่ร่วมหลับนอนเพื่อแลกกับเงินอย่างนั้นหรือ!
เธอบังคับน้ำตาไม่ให้ไหลผ่านเบ้าตาลงมา “ทำให้ฉันต้องอับอายเช่นนี้ คุณคงมีความสุขมากใช่ไหมคะ?”
เสียงสั่นๆ ดังออกมาจากลำคอ เธอคิดว่าตัวเองได้เตรียมใจรับความอับอายมาแล้ว แต่กลับพบว่ามันยังห่างไกลอยู่มากนัก
“คุณให้เกียรติตัวคุณเองไปแล้ว”
เฉินเป่ยชวนพูดเสร็จก็หยิบกล่องยาเล็กๆ ออกมาจากตู้ข้างๆ เฉียวชูเฉี่ยนไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่หลังจากที่ได้เห็นฉลากยาที่อยู่หน้ากล่อง ดวงตาเธอก็เต็มไปด้วยความตกใจ
“ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนี้ เมื่อครู่คุณไม่ได้คิดอยากให้มีผมความสุขหรอกหรือ ผมมีความสุขได้ แต่จำเป็นจะต้องให้คุณทุ่มเทมันออกมาให้เต็มที่ด้วย”
กล่องยาถูกส่งมาให้เธอ คิ้วที่แข็งแกร่งก็เลิกขึ้น หางตาบ่งบอกความเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
ไม่คาดว่าเขาจะเตรียมยาปลุกอารมณ์สำหรับผู้หญิงมาด้วย!
“เฉินเป่ยชวน นี่ก็ค่าตอบแทนที่คุณจะยอมปล่อยลู่ฉีและลู่กรุ๊ป ถูกต้องไหมคะ?”
น้ำตาไหลทะลักออกมาจากใต้ตาเธออย่างหนัก อับอายเสียจนสั่นเบาๆ ไปทั้งตัว ความอับอายเช่นนี้ทำให้เธอแทบอยากจะฆ่าคน แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้แล้ว ความรู้สึกอับจนหนทางได้กลืนกินไปจนหมดแล้ว
ทำไมเขาต้องทำกับเธอแบบนี้
“ใช่”
คำพูดเย็นๆ หนึ่งคำทำให้เลือดในกายเธอแข็งตัวขึ้น ไม่มีคำศัพท์ใดๆ สามารถบรรยายความโกรธและความทรมานใจออกมาได้
“หวังว่าคุณจะรักษาคำพูดของตัวเอง”
สายตาเธอมองไปทางอื่น แล้วหยิบยาเม็ดเล็กๆ เนื้อละเอียดจากในกล่องออกมา จากนั้นก็กลืนลงไปโดยไม่ต้องดื่มน้ำ เธอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง นิ้วที่สั่นเทาของเธอมาแตะตรงกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเอง
อยู่มาสามสิบปี เป็นครั้งแรกที่เข้าใจว่าคนผู้หนึ่งสามารถโหดร้ายได้มากขนาดไหน
เฉินเป่ยชวนมองด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย มีอาการสั่นน้อยๆ บนใบหน้าที่หล่อราวรูปปั้นแกะสลัก เขาไม่เร่งเร้าแต่ก็ไม่ห้ามอะไร เหมือนเป็นผู้ชมคนหนึ่งที่กำลังเพลิดเพลินอย่างเงียบๆ กับภาพเคลื่อนไหวที่อยู่ตรงหน้า
เสื้อตกลงบนพื้นพรมโดยปราศจากเสียงใดๆ แต่เธอกลับได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังแตกร้าว เจ็บปวดถึงเพียงนั้น
นิ้วมือของเฉียวชูเฉี่ยนหยุดลงในขณะที่กำลังจะถอดกระโปรง ลูกกระเดือกของเฉินเป่ยชวนขยับโดยไม่ตั้งใจ “ถอดให้หมด”
ชิ้นผ้าบนตัวที่เหลืออยู่คือเกียรติยศเล็กๆ ชิ้นสุดท้ายของเธอ เธอกัดฟันแล้วค่อยๆ ถอดออก เสมือนเธอกำลังถอดเกียรติยศทั้งหมดบนตัวออกแล้วโยนลงพื้น เพื่อปล่อยให้เขาเหยียบย่ำมันลงไป
เฉียวชูเฉี่ยนหลับตาปี๋ จู่ๆ เธอก็หวังให้ตัวเองในตอนนี้เป็นดั่งร่างกายที่ไร้จิตวิญญาณ ไม่อยากจะตื่นมาเผชิญกับความอัปยศที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ผมไม่ได้ให้คุณมาปิดตาแล้วเสพสุขนะ”